
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนพ.ค. 68 ซึ่งเป็นการสำรวจจากความคิดเห็นของภาคธุรกิจ และหอการค้าทั่วประเทศ จำนวน 369 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 26-30 พ.ค. 68 โดยดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 48.0 ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 48.3 ในเดือนเม.ย. 68
นายวชิร กล่าวว่า ดัชนีเชื่อมั่นหอการค้าไทย ยังคงเป็นขาลง โดยดัชนีฯ ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และถือว่าลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดในปีนี้ เนื่องจากภาคธุรกิจยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต โดยจากการสำรวจความเห็นพบว่า ภาคการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่มีสัญญาณชะลอตัว ส่วนภาคอุตสาหกรรม ยังมีการขยายตัวได้จากการเร่งผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนที่การปรับขึ้นมาตรการภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ส่วนด้านการค้า แม้จะดีขึ้น แต่เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว โดยประชาชนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่าย ทำให้การจับจ่ายใช้สอยจะมีมูลค่าไม่สูงมาก ส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของภาคธุรกิจ ขณะที่การจ้างงานมีสัญญาณปรับตัวลดลง และยังมีความไม่แน่นอน
“ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้า ในเดือนพ.ค. ยังเป็นขาลงต่อเนื่อง ซึ่งภาคธุรกิจยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ การบริโภค และการจ้างงาน โดยดัชนีฯ ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และถือว่าลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี” นายวชิร ระบุ
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้
– กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 47.9 ลดลงจากเดือนเม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 48.0
– ภาคกลาง อยู่ที่ 47.5 ลดลงจากเดือนเม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 47.7
– ภาคตะวันออก อยู่ที่ 51.3 ลดลงจากเดือนเม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 51.7
– ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 47.0 ลดลงจากเดือนเม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 47.4
– ภาคเหนือ อยู่ที่ 47.8 ลดลงจากเดือนเม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 48.0
– ภาคใต้ อยู่ที่ 46.7 ลดลงจากเดือนเม.ย. ซึ่งอยู่ที่ 47.1
ปัจจัยลบ ได้แก่
1. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1/68 ขยายตัว 3.1% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว ทั้งการเร่งส่งออกก่อนการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 68 ลงเหลือ 1.3-2.3%
2. การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
3. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ยังเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ
4. เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ รวมถึงผู้บริโภคมีการระมัดระวังการจับจ่าย ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต ซึ่งรายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
5. SET Index เดือนพ.ค. 68 ปรับตัวลดลง 48.08 จุด จาก 1,197.26 ณ สิ้นเดือน เม.ย.68 เป็น 1,149.18 ณ สิ้นเดือน พ.ค. 68
6. ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 33.746 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน เม.ย.68 เป็น 32.934 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นเดือน พ.ค. 68 สะท้อนว่ามีการไหลออกสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
7. สถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับขบวนการฮามาส ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น
ปัจจัยบวก ได้แก่
1. ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ เหลือ 0.01% ที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมิน ไม่เกิน 7 ล้านบาท
2. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยกเว้นการยื่นวีซ่านักท่องเที่ยว
3. การส่งออกของไทยเดือน เม.ย. 68 ขยายตัว 10.18% มูลค่าอยู่ที่ 25,625.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 16.08% มีมูลค่าอยู่ที่ 28,946.42 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าอยู่ที่ 3,321.34 ล้านดอลลาร์
4. ราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95 ในประเทศปรับตัวลดลงประมาณ 0.3 บาท/ลิตร จากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 32.18 และ 32.55 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศ ยังคงทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 31.94 บาท/ลิตร ณ สิ้นเดือน พ.ค.68
5. เข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลไม้ ทำให้อุปสงค์สินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งในกลุ่มอาหารสด อาหารแห้ง อาหารแปรรูป และผลไม้
6. ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญ ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ราคาไม่ค่อยดี
ทั้งนี้ ภาคเอกชนเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อภาครัฐ ดังนี้
– มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น
– มาตรการทางการเงินที่ช่วยเหลือสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ช่วยดูแลมาตรฐานการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน และช่วยลดความเสี่ยงหนี้เสีย
– การบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมกับภาคการเกษตร อุปโภค-บริโภค และรวมไปถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง
– การส่งเสริมกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งเมืองหลัก และเมืองรองให้ต่อเนื่อง เพื่อให้เม็ดเงินกระจายลงสู่พื้นที่
– มาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
– การดูแลภาระภาษีและค่าใช้จ่าย โดยต้องการให้ภาครัฐลดภาระภาษี และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 มิ.ย. 68)