มองมุมต่าง: Rebalancing ของ 2 ดัชนีใหญ่ MSCI-FTSE ลดน้ำหนักหุ้นไทย ส่งสัญญาณอะไร?

ในรอบปีนี้ปฏิบัติการลดน้ำหนักลงทุนของต่างชาติ รวมถึงผู้ลงทุนที่ใช้ดัชนี MSCI เป็นตัวอ้างอิงการลงทุน ได้ขายหุ้นไทยไปแล้วประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568

ล่าสุด จะมีการลดน้ำหนักการลงทุนจากดัชนี FTSE Rebalancing เพิ่มอีกประมาณเกือบ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,600-9,900 ล้านบาทในวันที่ 20 มิถุนายน 2568

ประเด็นการลดน้ำหนักหุ้นไทยของ MSCI กับ FTSE คือ เหตุผลเดียวกัน

1. มูลค่าตลาดรวม(Mkt cap) ลดลง เกิดจากราคาหุ้นที่ลงมาอย่างต่อเนื่อง

หากตลาดหุ้นไทยมีขนาดเล็กลง หรือมีมูลค่าตลาดลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น อินเดีย ไต้หวัน อินโดนีเซีย สัดส่วนของไทยก็จะถูกลดโดยอัตโนมัติ

2. สภาพคล่อง (Free Float) ลดลงตามปริมาณการซื้อขายรายวัน

หากหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันต่ำกว่าประเทศอื่น หุ้นบางตัวอาจถูกถอดออกจากดัชนี

3. ปริมาณผู้ถือครองหุ้นของต่างชาติ (Foreign Ownership Limit: FOL) ที่เหลือน้อยลง

4. ถูกเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นแล้วไม่สามารถแข่งขันได้ อาทิ ตลาดหุ้นอินเดีย ที่มีการเติบโตไวกว่า มีหุ้นใหม่เข้าตลาดต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย ที่ได้รับผลกระทบจากด้านอื่นๆ มีดังนี้

1.ความไม่แน่นอนทางการเมือง เนื่องจากประเทศไทยเผชิญกับปัญหาทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เช่น คดีความของบุคคลและพรรคการเมืองสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงและเกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

2.ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจไทยขยายตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค โดยมีปัจจัยกดดันจากหนี้ครัวเรือนสูง และการบริโภคภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ

3.ความกังวลจากสถานการณ์การค้าโลกการกลับมาของนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี “ทรัมป์” สร้างความกังวลต่อตลาดเกิดใหม่ที่พึ่งพาการส่งออก ทำให้นักลงทุนต้องประเมินความเสี่ยงใหม่

นอกจากความเสี่ยงที่กล่าวมานั้น เรายังไม่เอยถึงความไม่น่าสนใจของหุ้นไทยที่นับวันยิ่งลดน้อยถือลงไปเรื่อยๆ จากโครงสร้างธุรกิจที่อยู่ดำเนินอยู่ในหุ้นกลุ่ม SET50, SET100 เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจในตลาดหุ้นต่างประเทศ

ความไม่จูงใจเหล่านี้ถือเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่บริษัทจดทะเบียนเหล่านี้ควรปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพให้เกิดการอยู่รอดและเติบโตได้ในอนาคต

เหตุผลที่ต้องพัฒนาและสร้างความน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติ เพราะปัจจุบันผู้ลงทุนต่างชาติยังถือหุ้นไทยสูงถึง 4 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถมองได้สองมุม

1. มุมลบ คือ แรงเทขายยังรออยู่ ตราบใดที่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น เราอาจจะได้เห็นการทยอยลดน้ำหนักแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แบบหาที่สิ้นสุดมิได้

2. มุมบวก คือ การถือครองหุ้นไทยของผู้ลงทุนต่างชาติที่ยังอยู่ในระดับสูง หมายความว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นในอนาคต อาจเห็นการกลับเข้ามาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนอีกครั้ง

ผู้เขียนอยากขอฝากความหวังของตลาดหุ้นไว้ที่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนไทยด้วย

ธิติ ภัทรยลรดี

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 มิ.ย. 68)