
โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ประเมินว่า ความต้องการซื้อบ้านใหม่ในเขตเมืองของจีนจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าจุดสูงสุดเมื่อปี 2560 ถึง 75% ต่อเนื่องในช่วงหลายปีข้างหน้า สะท้อนถึงแรงกดดันจากจำนวนประชากรที่ลดลง และแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความสนใจในการลงทุนชะลอตัว
นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า การชะลอตัวของประชากรและอัตราการขยายตัวของเมืองที่ลดลง ทำให้ความต้องการบ้านใหม่ลดลง ขณะที่ความต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อาจติดลบ เนื่องจากเจ้าของเริ่มทยอยปล่อยขายอะพาร์ตเมนต์ที่ยังไม่มีคนอยู่อาศัย
ด้วยเหตุนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตเมืองของจีนจะอยู่ต่ำกว่า 5 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งถือว่าห่างไกลจากจุดสูงสุดในปี 2560 ที่แตะระดับ 20 ล้านยูนิต
การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของภาคอสังหาริมทรัพย์จีน ซึ่งยังต้องเผชิญแรงกดดันจากปัญหาหนี้สะสม หลังเกิดภาวะบ้านล้นตลาดตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจีนระบุว่า ราคาบ้านใหม่ในเขตเมืองของจีนปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 7 เดือนเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา บ่งชี้ว่าผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศเมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้วเริ่มลดน้อยลง ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงยังคงยืนยันเดินหน้าฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคยมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์ยังประเมินว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยตามโครงสร้างประชากรในเมืองของจีนจะลดลงราวครึ่งหนึ่งภายใน 10 ปีข้างหน้า โดยจะอยู่ที่ประมาณ 4.1 ล้านยูนิตต่อปีในช่วงปี 2568–2573 ลดลงจากเฉลี่ย 9.4 ล้านยูนิตต่อปีในช่วงปี 2553–2562
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 มิ.ย. 68)