
บรรดาผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 เปิดเผยแผนปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจกระทบความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานด้านแร่ธาตุสำคัญ (critical minerals) ท่ามกลางการครอบงำของจีนในตลาดแร่หายากที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่
แถลงการณ์ร่วมภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำ G7 ซึ่งจัดขึ้นที่แคนาดาระบุว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ยกระดับความร่วมมือทั้งภายในกลุ่มและกับประเทศพันธมิตร เพื่อปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ
ความร่วมมือจะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การเฝ้าระวังภาวะขาดแคลนแร่ธาตุ การประสานรับมือกับความพยายามบิดเบือนกลไกตลาดโดยเจตนา การกระจายฐานการผลิต รวมถึงการย้ายกระบวนการผลิต เช่น การทำเหมือง แปรรูป ผลิต และรีไซเคิล กลับมายังประเทศต้นทางให้มากขึ้น
ผู้นำ G7 ระบุว่าจะเพิ่มความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการลงทุนในโครงการแร่ธาตุสำคัญมากขึ้น พร้อมทั้งรับรองเอกสารความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีควอนตัม และการปราบปรามการกดขี่ข้ามพรมแดน
นอกจากนี้ ในการประชุมเมื่อวันอังคาร (17 มิ.ย.) ผู้นำ 6 ชาติจากกลุ่ม G7 แสดงจุดยืนสนับสนุนยูเครน พร้อมอภิปรายร่วมกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน และมาร์ค รุตเตอร์ เลขาธิการนาโต โดยไร้เงาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ
“เรายืนยันว่าต้องเพิ่มแรงกดดันสูงสุดต่อรัสเซีย ซึ่งยังปฏิเสธที่จะเจรจาสงบศึก” มาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดากล่าวถึงการหารือร่วมกับเซเลนสกีในงานเลี้ยงเมื่อค่ำวันจันทร์ (16 มิ.ย.) ในเมืองคานานาสกิสของแคนาดา
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ช่วงค่ำวันจันทร์นั้น ผู้นำ G7 ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดความตึงเครียดในตะวันออกกลาง พร้อมระบุว่าอิหร่านคือต้นตอหลักของความไร้เสถียรภาพและการก่อการร้ายในภูมิภาค
ทั้งนี้ ผู้นำ G7 ยังประกาศสนับสนุนความมั่นคงของอิสราเอล หลังจากอิสราเอลได้โจมตีเป้าหมายในอิหร่านเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้ผู้บัญชาการทหารระดับสูงเสียชีวิต และสร้างความเสียหายต่อโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มิ.ย. 68)