
รายงานการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ฉบับล่าสุดที่เผยแพร่ในวันนี้ (20 มิ.ย.) ชี้ให้เห็นถึงความเห็นที่แตกออกเป็นสองฝ่ายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน แม้จะเห็นพ้องในหลักการว่าจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่กรรมการบางส่วนกลับมองว่าควรชะลอการตัดสินใจออกไปก่อน ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 เม.ย. – 1 พ.ค. ที่ผ่านมา BOJ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% พร้อมทั้งปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนความกังวลต่อผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นกำแพงภาษี
ถึงแม้คณะกรรมการจะเห็นตรงกันว่าควรขึ้นดอกเบี้ยต่อไปหากเศรษฐกิจฟื้นตัว แต่รายงานการประชุมชี้ว่า กรรมการบางส่วนมองว่าช่วงเวลาที่เงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่นจะขยับเข้าสู่เป้าหมาย 2% ของ BOJ นั้น ถูกเลื่อนออกไปประมาณหนึ่งปี
ความเห็นที่แตกต่างนี้ยังสะท้อนไปยังมุมมองต่อทิศทางเงินเฟ้อในอนาคต โดยกรรมการฝ่ายหนึ่งแสดงความกังวลว่า สินค้าราคาถูกจากจีนอาจเป็นตัวฉุดรั้งให้ราคาในประเทศลดต่ำลง ในขณะที่อีกฝ่ายเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้ออาจพุ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากบริษัทญี่ปุ่นเริ่มมีความกล้าที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าและค่าจ้างมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ครอบงำการประชุม โดยกรรมการรายหนึ่งระบุว่า “BOJ จำเป็นต้องใช้ท่าทีรอดูสถานการณ์จนกว่าทิศทางนโยบายภาษีของสหรัฐฯ จะนิ่งกว่านี้”
ขณะที่อีกเสียงหนึ่งเสริมว่า แม้จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในตอนนี้ แต่ BOJ ก็ไม่ควรมองโลกในแง่ร้าย และต้องเตรียมพร้อมที่จะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง “เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายในสหรัฐฯ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มิ.ย. 68)