
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือโต 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%) จากที่เคยประมาณการไว้ล่าสุดเมื่อพ.ย.67 ที่โต 3.0% โดยการขยายตัวดังกล่าว ยังมีโอกาสผันผวนอยู่ในกรอบ 0.9-2.3% ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่เป็นความไม่แน่นอน ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยใช่ครึ่งหลังปี 2568 ประกอบด้วย
– มาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยมีความไม่แน่นอนเรื่องอัตราภาษีที่ไทยจะสามารถเจรจาต่อรองได้
– ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ซึ่งมีนัยต่อราคาน้ำมันดิบ อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน
– ความตึงเครียดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีผลต่อการลดเวลาเปิด-ปิดด่าน และการห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการ
– ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้งบ 1.57 แสนล้านบาท ขึ้นกับการเบิกจ่ายงบกระตุ้นในโครงการดังกล่าว
– เสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธาร ภายหลังกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซ็น
ทั้งนี้ ฉากทัศน์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากสุดถึง 55% ในกรณีฐาน ประกอบด้วย 5 สถานการณ์ที่สำคัญ คือ
1. มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ คาดว่าสินค้าไทยจะถูกเก็บภาษีตอบโต (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 15-20%
2. ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ไม่ยืดเยื้อและไม่ขยายวงกว้าง
3. ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา จบลงได้รวดเร็ว
4. ประสิทธิผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดเบิกจ่ายได้อย่างน้อย 50% ภายในปีนี้
5. เสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งคาดว่านายกรัฐมนตรียังอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดปีนี้

นายวิเชียร กล่าวว่า จากกรณีฐานดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวได้ราว 1.7% ส่วนมูลค่าการส่งออก คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5% การนำเข้า 2.5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 0.5% การลงทุนภาครัฐ โต 6% การลงทุนภาคเอกชน -1.2% การบริโภคภาครัฐ โต 1.3% การบริโภคภาคเอกชน โต 2.4% จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36 ล้านคน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.69 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ระดับ 87.4% ต่อจีดีพี
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ในระยะเร่งด่วน (1-6 เดือน) เช่น
– เร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนครบกำหนด 9 ก.ค.68 เพื่อลดอัตราภาษีลงจากที่จะถูกเรียกเก็บ 36%
– เร่งเบิกจ่ายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เน้นลดผลกระทบส่งออก และเพิ่มผลิตภาพ
– เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน เป้าหมายไม่ต่ำกว่า 70%
– ฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวจีนอย่างเร่งด่วน
– ดูแลผู้ค้า-ผู้ส่งออกชายแดน จากผลกระทบปัญหาไทย-กัมพูชา
ส่วนข้อเสนอแนะระสั้น (6-12 เดือน) เช่น
– แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเชิงโครงสร้าง เพื่อปลดล็อกกำลังซื้อ และฟื้นการบริโภคภาคเอกชน
– กระตุ้นการลงงทุนภาคเอกชน และเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี
– เพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิต และฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรม
– วางมาตรการป้องกันการทุ่มตลาด และสินค้าจีนไหลทะลักเข้าไทย เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ผิดไปจากเดิมที่เคยคาดไว้ เป็นผลมาจากสงครามการค้าเป็นสำคัญ ที่ทำให้เปลี่ยนมุมมองจากเดิมที่เคยคาดว่าปีนี้ GDP จะโตได้ 3% ลงมาเหลือค่ากลางที่ 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%)
พร้อมกันนี้ ยังประเมินทิศทางการเมืองจากกรณีฐานที่ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ตลอดปีนี้ เพราะเชื่อว่าหากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจลาออกในตอนนี้ อาจไม่เป็นผลดี เพราะจะไม่สามารถพลิกฟื้นคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยได้โดยง่าย การลาออกตอนนี้ การหาเสียงจะยิ่งทำได้ยาก เพราะรัฐบาลจะถูกมองว่ายังไม่สามารถแก้ปัญหาหรือพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้านายกฯ สามารถแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาได้ และทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะมีความเหมาะสมที่จะสู้การเลือกตั้งได้
“หากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาทันที ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่พรรคเพื่อไทย จะสามารถดึงคะแนนนิยมกลับมาอย่างรวดเร็ว หรือจะเป็นหลักประกันว่าจะสามารถชนะเลือกตั้งเป็นเบอร์ 1 ได้” นายธนวรรธน์ ระบุ
ขณะเดียวกัน ต้องจับตาปัจจัยการเมืองสำคัญคือการนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ ว่าจะสามารถสั่นคลอนคะแนนนิยมในตัวรัฐบาลได้มากน้อยเพียงใด อีกทั้งต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ในระหว่างรอคำตัดสินของศาล หลังจากที่มีผู้ไปยื่นคำร้องปมคลิปสนทนากับสมเด็จฮุนเซ็น และดูต่อเนื่องว่าศาลจะมีคำตัดสินอย่างไร จะต้องถูกถอดถอดออกจากตำแหน่งนายรัฐมนตรีหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้คงใช้เวลาอีกสักระยะ
นอกจากนี้ การที่รัฐบาลจะไม่เร่งรีบนำร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลดแรงกดดันจากสังคม และลดความเสี่ยงจากคะแนนโหวตในสภาฯ ก็หมายความว่ารัฐบาลยังมีโอกาสจะทำงานได้ต่อ
“การที่รัฐบาลยังทำงานได้ต่อ และทำจนถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ผ่านสภาฯ ได้ การที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งหากงบปี 69 ผ่านไปได้ก่อน การเจรจา reciprocal tariffs ผ่านไปก่อน ซึ่งเป็นกรณีที่เรามองไว้ในแง่ดีที่สุด รัฐบาลก็ยังสามารถทำงานต่อได้ แต่ต้องดูว่าแรงกดดันทางการเมืองจะมีอีกหรือไม่ ถ้ายังมีอีกเรื่อย ๆ มีการชุมนุมทางการเมืองอยู่เรื่อยๆ มีเหตุการณ์ที่ทำให้รัฐบาลจะต้องออกไปก่อน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่น แต่ ณ ตอนนี้ รัฐบาลยังทำงานได้ต่อ เคลื่อนนโยบายได้ต่อ เพราะมีเสียงทางการเมืองช่วย support และยังมีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ” นายธนวรรธน์ ระบ

ชี้ timing เหมาะสม กนง.ลดดอกเบี้ยครึ่งปีหลัง 2 ครั้ง
นายธนวรรธน์ ยังให้ความเห็นต่อกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% แม้จะมองว่าสัญญาณเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มชะลอตัวลงตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ว่าอาจเป็นเพราะ กนง.เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ย่ำแย่ และมีมุมมองใหม่ที่ปรับ GDP ปีนี้ให้โตขึ้นเป็น 2.3% จากเดิมที่มองไว้ 2% รวมทั้งอาจมองว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงทำให้ กนง.ตัดสินใจชะลอการลดดอกเบี้ยในรอบนี้ไว้ก่อน รวมทั้งอาจรอดูผลจากนโยบายการคลัง กรณีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทว่าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งหากนโยบายการคลังดังกล่าว ยังไม่สามารถช่วยเคลื่อนเศรษฐกิจได้ กนง.ก็ยังมีโอกาสจะลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังได้อีก 2 ครั้ง ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ครั้งละ 0.25%
“ซึ่งจะเป็น timing ที่ดึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มขึ้นมา พร้อมกับบรรยากาศเศรษฐกิจในเรื่องเที่ยวไทยคนละครึ่ง เม็ดเงินเริ่มลงไป เพราะ กนง.ใช้คำว่า ต้องใช้นโยบายการเงินในช่วงเวลาที่เหมาะสม” นายธนวรรธน์ กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มิ.ย. 68)