แนวโน้มปริมาณผลผลิตไก่ของไทยโตสวนทางมูลค่าส่งออกเหตุดีมานด์ชะลอ-ตลาดแข่งขันรุนแรง

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด (KResearch) เปิดเผยว่า ปริมาณการผลิตเนื้อไก่ของประเทศไทยในปี 68 คาดจะอยู่ที่ 3.44 ล้านตัน ขยายตัว 1.3% จากปีก่อน สอดคล้องไปกับปริมาณการบริโภคในประเทศที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัว 0.7% โดยมีปัจจัยหนุนจากราคาเนื้อสุกรปรับตัวขึ้น รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับโรคระบาดในวัว ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อไก่ยังคงเติบโตในฐานะสินค้าทดแทน

ส่วนราคาไก่ที่เกษตรกรขายได้หน้าฟาร์ม คาดปรับตัวสูงขึ้น 3.5% จากปีก่อน หรือจาก 40.6 บาท/กก. เป็น 42.0 บาท/กก. แม้วัตถุดิบอาหารสัตว์จะมีทิศทางลดลงแต่ต้นทุนส่วนอื่น ๆ มีแนวโน้มขยับขึ้น อาทิ ต้นทุนการจัดการฟาร์มให้ได้มาตรฐาน และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ขณะที่ราคาขายปลีกยังขยับขึ้นได้จำกัด เนื่องจากเป็นสินค้าควบคุม ผู้ประกอบการจึงต้องเน้นการบริหารจัดการต้นทุนเพื่อรักษารายได้และอัตรากำไร

ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการในธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ไก่จำนวน 1,252 ราย (เฉพาะนิติบุคคล ครอบคลุมธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ โรงชำแหละและแปรรูป) โดยราว 80% เป็นผู้ประกอบการรายย่อย ส่วนอีก 20% เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และรายกลาง

อย่างไรก็ดี ผลผลิตเนื้อไก่จากฟาร์มเลี้ยงไก่ของเกษตรกรรายย่อย มีสัดส่วนเพียง 10% ของผลผลิตไก่เนื้อทั้งหมด อีก 90% มาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ลงทุนแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำทั้ง ที่เป็นฟาร์มของบริษัทเอง รวมถึงการทำ contract farming กับเกษตรกรรายย่อย ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่กลุ่มนี้ก็มีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาด้านคุณภาพและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด

มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยในปี 68 คาดว่าจะอยู่ที่ 4,445 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โต 3.0% ชะลอลงจากปีก่อนที่ 5.7% จากความต้องการในประเทศคู่ค้าหลัก อย่าง ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และจีน ที่โตช้าลง ตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงยังต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่ยังคงรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งอย่างบราซิลและจีน ที่มีความได้เปรียบด้านราคา จากปริมาณการผลิตที่มี Economy of scale รวมถึงสามารถผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้เอง ขณะที่ไทยยังต้องนำเข้าเป็นหลัก ส่งผลให้ไทยมีต้นทุนการผลิตสูง ราคาผลิตภัณฑ์ไก่จึงสูงกว่าคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไทยในระยะข้างหน้า ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

ความเสี่ยงของธุรกิจผลิตภัณฑ์ไก่ของไทย ยังมาจากต้นทุนการผลิตยังผันผวน โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนราว 60-70% ของต้นทุนการผลิตรวม รวมถึงต้นทุนการจัดการฟาร์มและสาธารณูปโภคให้ได้มาตราฐาน อาจส่งผลให้อัตรากำไรเฉลี่ย (Gross profit margin) ของธุรกิจปรับลดลงจากปัจจุบันที่อยู่ที่ราว 20%-30% และยังมีอุปสรรคทางการค้าจากทั้งมาตรการทางภาษีของสงครามการค้ารอบใหม่ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง อาจกระทบต่อเศรษฐกิจคู่ค้าหลักให้เติบโตต่ำ และส่งผลต่อเนื่องมายังยอดคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยให้ลดลง

รวมถึงการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบการส่งออกที่เข้มงวดมาก ขึ้น เช่น มาตรฐานสุขอนามัยอาหาร สารตกค้างและการใช้ยา มาตรฐานฟาร์มและสวัสดิภาพสัตว์ ตลอดจนการปฏิบัติตามเกณฑ์ ESG ที่อาจส่งผลต่อกระบวนการผลิต ผู้ประกอบการจึงจำป็นต้องมีการลงทุนในระบบการจัดการและคุณภาพการผลิตเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในฝั่งสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มเข้มงวดกับมาตรฐานเหล่านี้

และการที่ไทยพึ่งพาตลาดส่งออกหลักอย่าง ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรในสัดส่วนที่สูง (มากกว่า 60% ของมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมด) ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรง ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านการพึ่งพาตลาด จึงควรมองหาโอกาสในการ ขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ไปยังตลาดศักยภาพใหม่ๆ อาทิกลุ่มตะวันออกกลาง นิวซีแลนด์ แคนาดา เป็นต้น

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มิ.ย. 68)