จับตาร่างกฎหมายภาษีทรัมป์ หวั่นทำสหรัฐฯ ก่อหนี้เพิ่มหากผ่านสภาผู้แทนราษฎร

วุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก มีมติด้วยคะแนนฉิวเฉียด 51 ต่อ 50 ผ่านร่างกฎหมายปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายขนานใหญ่ที่นำเสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยคะแนนเสียงชี้ขาด 1 เสียงดังกล่าวมาจากรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ ซึ่งใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในฐานะประธานวุฒิสภา โดยขณะนี้ร่างกฎหมายถูกส่งไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอการอนุมัติในขั้นตอนสุดท้าย

วุฒิสภาได้ใช้เวลาในการโหวตร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นเวลายาวนาน หรือเรียกว่า “vote-a-rama” โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 30 มิ.ย. ลากยาวมาจนถึงวันอังคาร 1 ก.ค. ก่อนที่จะลงมติด้วยคะแนนแบบฉิวเฉียด โดยสาเหตุที่ต้องใช้เวลาอภิปรายกันนานนั้นเป็นเพราะวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันมีความคิดเห็นที่แตกต่างในประเด็นที่ว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะส่งผลให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ โดยสว.รีพับลิกันที่โหวตไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้มี 3 คน ได้แก่ซูซาน คอลลินส์, ทอม ทิลลิส และ แรนด์ พอล

แม้ว่าปธน.ทรัมป์หมายมั่นให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ซึ่งมีชื่อว่า “ร่างกฎหมายยิ่งใหญ่สวยงาม” หรือ “One Big Beautiful Bill” ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสภายในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งเป็นวันชาติสหรัฐฯ แต่หลายฝ่ายได้ออกมาคัดค้านร่างกฎหมาย เนื่องจากกังวลว่าจะทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก และทำให้สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ต้องแบกรับหนี้ที่มีอยู่มากถึง 36.2 ล้านล้านดอลลาร์

 

*ส่องร่างกฎหมาย “ยิ่งใหญ่และสวยงาม” ที่ทรัมป์คาดหวัง

ร่างกฎหมายซึ่งมีความยาว 940 หน้าฉบับนี้ มีสาระสำคัญอยู่ที่การปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ตลอดจนเพิ่มการใช้จ่ายขนานใหญ่ของรัฐบาลทรัมป์ นับเป็นการสานต่อกฎหมายปฏิรูปภาษีปี 2560 ซึ่งเป็นผลงานสำคัญของปธน.ทรัมป์ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก

ขณะเดียวกันร่างกฎหมายกำหนดให้ลดการใช้จ่ายประมาณ 9.30 แสนล้านดอลลาร์ในโครงการสุขภาพ Medicaid และความช่วยเหลือด้านอาหารสำหรับชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย และยกเลิกการลดหย่อนภาษีพลังงานสะอาดในสมัยของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังกำหนดให้เพิ่มเพดานการหักภาษีของมลรัฐและท้องถิ่น (SALT) สู่ระดับ 40,000 ดอลลาร์ สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า 500,000 ดอลลาร์ต่อปี เมื่อผู้เสียภาษีในสหรัฐฯ ยื่นแบบแสดงภาษีรายได้ต่อกรมสรรพากร พวกเขาสามารถหักภาษีที่จ่ายให้กับมลรัฐและท้องถิ่นออกจากรายได้พึงประเมิน ซึ่งจะช่วยลดจำนวนภาษีที่ต้องจ่ายให้แก่รัฐบาลกลาง

ก่อนหน้านี้ ในปี 2560 ภายใต้กฎหมายปฏิรูปภาษีของปธน.ทรัมป์ขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก กฎหมายดังกล่าวได้จำกัดการหักภาษี SALT ไว้ไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในรัฐที่มีภาษีสูง เช่น แคลิฟอร์เนีย นิวยอร์ก และนิวเจอร์ซีย์ เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถหักภาษีท้องถิ่นได้เต็มจำนวนอีกต่อไป

“นี่เป็นร่างกฎหมายที่ยิ่งใหญ่ เป็นกฎหมายสำหรับทุกคน และผมคิดว่ามันจะผ่านไปได้ด้วยดีในสภาผู้แทนราษฎร อันที่จริง ผมคิดว่ามันจะผ่านในสภาผู้แทนราษฎรได้ง่ายกว่าในวุฒิสภาด้วยซ้ำ” ปธน.ทรัมป์กล่าว

 

*เดโมแครตไม่ปลื้ม ชี้เป็นร่างกฎหมายเอื้อคนรวย

สมาชิกพรรคเดโมแครตคัดค้านร่างกฎหมายของทรัมป์อย่างรุนแรง โดยวิพากษ์วิจารณ์การลดภาษีในร่างกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็นการลดภาษีที่เอื้อประโยชน์ต่อคนรวย แม้ว่าพรรครีพับลิกันยืนกรานว่าการลดภาษีนี้เป็นการช่วยเหลือชนชั้นกลาง

ขณะเดียวกัน พรรคเดโมแครตยังไม่พอใจร่างกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากมีการปรับลดงบประมาณในโครงการที่จำเป็น เช่น Medicaid หรือโครงการดูแลสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อย รวมถึงคูปองอาหาร

นอกจากนี้ พรรคเดโมแครตยังวิตกว่าร่างกฎหมายนี้จะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกหลายล้านล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ คาดว่าสส.พรรคเดโมแครตจะโหวตคัดค้านร่างกฎหมายนี้อย่างเป็นเอกฉันท์ โดยฮาคีม เจฟฟรีย์ส ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต กล่าวว่า “นี่คือการโจมตีระบบการดูแลสุขภาพของอเมริกาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ … และเป็นการโจมตีโภชนาการครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาเช่นกัน”

 

*สำนักงบประมาณเตือนเอง ร่างกฎหมายทรัมป์เสี่ยงทำรัฐบาลก่อหนี้เพิ่ม

รายงานการวิเคราะห์จากสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐฯ (CBO) ระบุว่า ร่างกฎหมายที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาฉบับนี้ จะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า อีกทั้งจะทำให้รัฐบาลขาดดุลประมาณราว 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2568-2577

นอกจากนี้ CBO ยังคาดการณ์ว่า ร่างกฎหมายนี้จะทำให้ชาวอเมริกันอีก 11.8 ล้านคนสูญเสียการคุ้มครองด้านการประกันสุขภาพภายในปี 2577 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเรื่องนี้จะสร้างอุปสรรคต่อการผ่านร่างกฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรก่อนถึงเส้นตายวันที่ 4 ก.ค.ของปธน.ทรัมป์อย่างแน่นอน

 

อีลอน มัสก์ ไม่เข็ด โผล่วิจารณ์ร่างกฎหมายภาษี ฉุดหุ้นเทสลาร่วงอีก

หุ้นเทสลาร่วงลง 5.4% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันอังคาร (1 ก.ค.) หลังจากปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะตัดเงินอุดหนุนหลายพันล้านดอลลาร์ที่บริษัทของอีลอน มัสก์ ซึ่งรวมถึงเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ได้รับจากรัฐบาลกลาง ภายหลังจากที่มัสก์วิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายขนานใหญ่ของปธน.ทรัมป์

คำขู่ของปธน.ทรัมป์แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจที่ร่างกฎหมายอันยิ่งใหญ่ของเขาถูกโจมตีโดยอดีตผู้ที่เขาเคยชื่นชมอย่างอีลอน มัสก์ และนับเป็นการยกระดับความขัดแย้งระหว่างผู้ทรงอิทธิพลทั้งสอง

ทรัมป์โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียลว่า กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่อีลอน มัสก์ เคยเป็นหัวเรือใหญ่ ควรเข้าไปตรวจสอบเงินอุดหนุนที่บริษัทต่าง ๆ ของมัสก์เองเคยได้รับ เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณของรัฐบาลกลางเป็นเงินจำนวนมหาศาล

“อีลอนอาจจะเป็นคนที่ได้รับเงินอุดหนุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และหากไม่มีเงินอุดหนุนเหล่านี้ อีลอนก็คงต้องปิดบริษัทแล้วกลับบ้านที่แอฟริกาใต้ไปแล้ว จะไม่มีอีกแล้วทั้งการปล่อยจรวด ดาวเทียม หรือการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และประเทศของเราก็จะประหยัดเงินได้เป็นกอบเป็นกำ บางทีเราน่าจะให้หน่วยงาน DOGE เข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที มีเงินมหาศาลให้ประหยัดได้!!!”

 

ขณะนี้ตลาดการเงินต่างจับตาร่างกฎหมายดังกล่าวว่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสภายในวันที่ 4 ก.ค. ตามที่ปธน.ทรัมป์ตั้งธงไว้หรือไม่ โดยบางตลาดเริ่มมีปฏิกิริยาต่อความเคลื่อนไหวของร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาทองคำตลาดนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นกว่า 1% ในวันอังคาร เนื่องจากนักลงทุนแห่ถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลว่าร่างกฎหมายภาษีของปธน.ทรัมป์จะส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณและมีหนี้สินเพิ่มขึ้น

ล่าสุด ธนาคารเอชเอสบีซี (HSBC) ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำโดยเฉลี่ยในปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 3,215 ดอลลาร์/ออนซ์ จากระดับ 3,015 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาในปี 2569 ขึ้นสู่ระดับ 3,125 ดอลลาร์/ออนซ์ จากระดับ 2,915 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยระบุว่าความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ค. 68)