
เกิดเหตุปะทะกันรอบใหม่ระหว่างกองกำลังรัฐบาลซีเรียกับนักรบชาวดรูซในท้องถิ่น ที่เมืองซุวัยดาอ์ ทางตอนใต้ของประเทศในวันนี้ (16 ก.ค.) ส่งผลให้ข้อตกลงหยุดยิงที่เพิ่งประกาศได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงต้องพังครืนลง โดยยอดผู้เสียชีวิตนับตั้งแต่การสู้รบปะทุขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 ก.ค.) มีจำนวนหลายสิบรายแล้ว
ความรุนแรงดังกล่าวได้ลุกลามบานปลายจนอิสราเอลต้องเข้ามามีส่วนร่วม ด้วยการส่งเครื่องบินรบโจมตีทางอากาศใส่กองกำลังของรัฐบาลซีเรียเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ล่าสุดในวันนี้ อิสราเอล แคตซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล ประกาศกร้าวว่า อิสราเอลจะเดินหน้าโจมตีกองทัพซีเรียต่อไปจนกว่าจะมีการถอนกำลังออกไป โดยระบุว่ามีเป้าหมายเพื่อปกป้องประชากรชาวดรูซในภูมิภาค
ทั้งนี้ ความขัดแย้งครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างรัฐบาลซีเรียกับชนกลุ่มน้อยในประเทศอย่างชาวดรูซ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และศาสนากลุ่มหนึ่ง โดยเมื่อวันจันทร์กองทัพซีเรียได้ส่งกำลังเข้าไปในพื้นที่เพื่อระงับเหตุการณ์สู้รบระหว่างกลุ่มชาวดรูซกับกลุ่มชาวเบดูอิน แต่สถานการณ์กลับบานปลายจนกลายเป็นการปะทะกันระหว่างทหารรัฐบาลกับนักรบชาวดรูซเสียเอง
รายงานข่าวในพื้นที่ระบุว่า เมืองซุวัยดาอ์ตกอยู่ภายใต้การโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างหนักในวันนี้ ขณะที่รัฐบาลซีเรียออกมากล่าวโทษ “กลุ่มนอกกฎหมาย” ว่าเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ส่วนฝ่ายพลเรือนได้กล่าวหากองกำลังของรัฐบาลว่าทำการปล้นสะดมและเผาบ้านเรือน
ทางด้านสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงท่าทีว่ากำลังจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยทอม แบร์แรค ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำซีเรีย กล่าวเมื่อวันอังคาร (15 ก.ค.) ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังติดต่อกับทุกฝ่าย “เพื่อหาหนทางนำไปสู่ความสงบ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (16 ก.ค. 68)