บัวแก้ว ประณามกัมพูชา จี้ยุติโจมตีทางอาวุธและละเมิดอธิปไตยไทย เรียกร้องรับผิดชอบ

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ในช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค.68 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการของไทยปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ อีกทั้งมีการยิงจรวด BM21 จำนวน 2 นัดเข้ามาในพื้นที่ชุมนุมภายในพื้นที่ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เป็นเหตุให้มีประชาชนได้รับบาดเจ็บรวม 3 ราย และยังคงมีเหตุโจมตีพื้นที่ชายแดนที่ไม่ใช่เป้าหมายทางการทหารยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น รพ.พนมดงรัง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสอีกหลายราย และเมื่อช่วงเย็นวานนี้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวณบริเวณช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี อีก 5 นาย ซึ่ง 1 นายได้รับบาดเจ็บสาหัสสูญเสียขาข้างขวา

โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นของกองทัพภาคที่ 2 พบว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกนำมาวางใหม่ และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนและเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้

1. รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชาที่ละเมิดอธิปไตยของไทย และกฎหมายระหว่างประเทศ ต่อเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาลอบเข้ามาวางกับระเบิดในดินแดนไทย เป็นผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค.68 และได้เปิดฉากยิงเข้ามาบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการของฝ่ายไทย ในช่วงเช้าของวันที่ 24 ก.ค.68 รวมทั้งได้โจมตีอย่างรุนแรงต่อเนื่องในพื้นที่ฝั่งไทยตลอดเช้านี้ รวมถึงเป้าหมายพื้นที่ที่เป็นพลเรือน โดยเฉพาะโรงพยาบาล จนเป็นเหตุให้ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิต

2. ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงความร้ายแรงดังกล่าวจากการที่กัมพูชาจงใจมีการกระทำเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนต่อประเทศไทย รัฐบาลไทยจึงตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตและเรียกเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศไทย (recall) และขอให้เอกอัครราชทูตกัมพูชากลับประเทศเช่นกัน

3. รัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซ้ำ ๆ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและความสุจริตใจ อีกทั้งจะยิ่งเป็นการบ่อนทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของกัมพูชาในประชาคมโลก

4. รัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยุติการโจมตีเป้าหมายทางทหารและพลเรือน รวมถึงยุติการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยทันที โดยรัฐบาลไทยพร้อมที่จะยกระดับมาตรการป้องกันตนเอง หากกัมพูชายังคงไม่ยุติการกระทำที่เป็นการโจมตีทางอาวุธและละเมิดอธิปไตยของไทยตามหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในช่วงบ่ายวันนี้จะมีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อพิจารณามาตรการและแนวทางที่จะดำเนินการต่อไปอย่างรอบด้าน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมดำเนินการอย่างเป็นเอกภาพ ทั้งด้านความมั่นคง ด้านการทูต ด้านการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ตลอดจนมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน

“ในช่วงเวลาที่สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน การสื่อสารในสังคม โดยเฉพาะในช่องทางสื่อสารออนไลน์อาจสร้างความเข้าใจผิด สร้างความแตกแยกโดยไม่ได้ตั้งใจ กระทรวงการต่างประเทศขอให้สังคมเชื่อมั่นในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงาน เพื่อความสามัคคีของคนในชาติในยามนี้” นายนิกรเดช กล่าว

สำหรับจุดยืนของไทยที่ยึดหลักการสันติภาพและการเจรจาระดับทวิภาคีหรือไม่นั้นจะมีการนำเข้าหารือในที่ประชุม สมช.ในช่วงบ่ายวันนี้ ส่วนท่าทีของไทยยืนยันจะยึดตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยพยายามอดทนอดกลั้น และดำเนินการอย่างสมเหตุสมผลเพื่อปกป้องอธิปไตย โดยขณะนี้ยังไม่มีประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะเข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจา และขณะนี้เรากำลังดำเนินการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อถึงระดับต่ำสุดก็จะเป็นการตัดสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งยังมีช่องทางให้ข้าราชการที่เป็นนักการทูตหารือและดูแลคนไทยในกัมพูชา

“การตัดสัมพันธ์ทางการทูตเป็นเรื่องยาก หากเกิดขึ้นจะทำให้ช่องทางการเจรจาถูกปิดไป ไม่สามารถหาจุดร่วมที่จะทำให้เกิดความสงบเป็นไปได้ยากขึ้น ซึ่งยังไม่ถึงจุดนั้น” นายนิกรเดช กล่าว

ขณะเดียวกัน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ได้ดำเนินการในเวทีโลกอย่างเต็มที่ โดยได้หารือกับประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประจำเดือน เลขาธิการสหประชาชาติ และผู้แทนประเทศสำคัญ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 ก.ค. 68)