
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า วันนี้ รมว.ต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือถึงหน่วยงานสหประชาชาติอีก 2 ฉบับ คือ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เพื่อแจ้งถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.68 โดยเป็นการโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ส่งผลให้พลเรือนของไทยเสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังทำให้ต้องมีการการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ ประชาชนต้องออกจากบ้านเรือน คนเจ็บป่วยไม่สามารถได้รับการรักษาพยาบาล และต้องปิดโรงเรียน ซึ่งการกระทำของกัมพูชาเป็นการขัดต่อพันธะกรณีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะต่อสตรี เด็ก และผู้พิการ
“หนังสือถึง UNICEF เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้กำลัง ที่ทำให้สูญเสียชีวิต และทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเด็กตกอยู่ในสภาวะเสี่ยง และเปราะบางในทันที ฉบับที่สองถึง OHCHR เพื่อแจ้งการละเมิดอนุสัญญาต่าง ๆ ด้านสิทธิมนุษยชน โดยข้อให้ OHCHR พิจารณาใช้อำนาจตามอาณัติ เรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทำดังกล่าว” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุ
นายนิกรเดชย้ำว่า ความไม่สุจริตของกัมพูชา สามารถเห็นได้จากการปล่อยข่าวที่เป็นเท็จ ปลอมแปลงข้อมูล มากไปกว่านั้น กองกำลังของกัมพูชา ยังตั้งฐานยิงอยู่ในบริเวณโรงเรียน วัด และบ้านเรือนของประชาชนตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบโต้จากฝ่ายไทย ถือเป็นการใช้โล่มนุษย์อย่างชัดเจน
ในกรณีนี้ การที่ไทยต้องดำเนินมาตรการตอบโต้กับกัมพูชา ถือเป็นสิทธิที่ชอบธรรมของไทย ภายใต้กฎบัตรระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ โดยเฉพาะสิทธิในการป้องกันตนเองจากการรุกรานของกัมพูชา การตอบโต้ของไทยเป็นไปอย่างมีสัดส่วน และอยู่จำกัดเฉพาะการโจมตีทางทหารที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมระบุด้วยว่า ทุกก้าวของไทยในการรับมือสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ตั้งอยู่บนกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม และความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกที่มีความรับผิดชอบในเวทีโลก
- ย้ำสันติวิธีเกิดขึ้นแน่ แค่กัมพูชาแสดงความจริงใจ
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งฝ่ายไทยได้ยืนยันอย่างหนักแน่นต่อจุดยืนในการแก้ไขปัญหาชายแดนกับกัมพูชาด้วยสันติวิถี โดยเฉพาะผ่านการเจรจาทวิภาคี ซึ่งฝ่ายไทยคาดหวังจะเห็นความจริงใจของกัมพูชาในการยุติการใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะยุติการโจมตีที่ไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งหากฝ่ายกัมพูชาแสดงความจริงใจ ไทยก็พร้อมที่จะหารือเพื่อกำหนดมาตรการ และกระบวนการที่ชัดเจนสำหรับการหยุดยิง และยุติการปะทะกันอย่างสันติและยั่งยืน
ส่วนความเป็นไปได้ของการหยุดยิงนั้น นายนิกรเดช กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปได้หมด แต่ข้อแม้ข้อเดียว คือ ความจริงใจจากกัมพูชา หากมีความจริงใจและสร้างความไว้ใจให้กับเราได้ การพูดคุยเพื่อนำไปสู่สันติก็เกิดขึ้นได้ เพราะไทยพูดมาโดยตลอดว่าต้องการหาข้อยุติอย่างสันติวิธีผ่านการพูดคุย แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ฝ่ายกัมพูชาจะต้องแสดงความสุจริตใจ และทำให้ฝ่ายไทยไว้ใจได้ก่อน
นายนิกรเดช กล่าวด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศ รับทราบว่าในวันพรุ่งนี้ (28 ก.ค.) นายภูมิธรรม รักษาการนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปพูดคุยเจรจาหยุดยิงกับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งฝ่ายไทยได้มีการประสานในการที่จะพูดคุยเจรจาหารือไว้แล้ว แต่ไม่ขอลงรายละเอียด เพราะอาจจะเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่มีความละเอียดอ่อนของการหารือ
- แถลงการณ์ประณามกัมพูชาอีกรอบ ทั้งใช้อาวุธหนัก-แพร่ข้อมูลเท็จ
โดยวันนี้กระทรวงการต่างประเทศ ยังได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีที่กองกำลังกัมพูชา ได้ใช้อาวุธร้ายแรงยิงเข้าใส่บ้านเรือนของประชาชนในดินแดนไทยที่จังหวัดสุรินทร์ ทั้งยังมีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่าฝ่ายไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ ขอชี้แจงดังนี้:
- ประเทศไทยขอประณามการกระทำอันร้ายแรงและเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างรุนแรงที่สุด และขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการโจมตีเป้าหมายพลเรือนในทันที การยุติการสู้รบไม่อาจเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่กัมพูชายังคงขาดความสุจริตใจอย่างร้ายแรง และละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน และหลักการพื้นฐานของกฎหมายมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยขอสงวนสิทธิในการป้องกันตนเองตามที่บัญญัติไว้ในข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และได้ดำเนินการตอบโต้ในลักษณะที่จำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารเพื่อขจัดภัยคุกคามต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย
- ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและเลวร้ายเหล่านี้ของกัมพูชา ซึ่งไม่อาจยอมรับได้ในระเบียบโลกที่ยึดถือกติกาและหลักนิติธรรม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ก.ค. 68)