ครม. อนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. … ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ และรับทราบแผนในการจัดทำกฏหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว

สำหรับร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. … มีสาระสำคัญ คือ จะมีการแจ้ง และกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการในการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) สำหรับใช้เองในที่อยู่อาศัย และในสถานประกอบการ โดยมีการกำกับดูแลกระบวนการติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ให้มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและวิศวกรรม

รวมทั้งการจัดการซากอุปกรณ์หลังหมดอายุการใช้งาน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศ ตลอดจนเป็นการลดการพึ่งพาพลังงานการนำเข้าจากต่างประเทศ

โดยสาระสำคัญของ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นดังนี้

1. กำหนดให้มีการแจ้งการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อใช้เองในที่อยู่อาศัยหรือสถานประกอบกิจการต่ออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยไม่ต้องขออนุญาตการติดตั้งจากหน่วยงานของรัฐอีก และได้กำหนดหลักเกณฑ์การติดตั้งอุปกรณ์ Solar rooftop

2. กำกับให้มีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จาก Solar Rooftop เฉพาะในสถานที่ติดตั้งเท่านั้น

3. กำหนดหลักเกณฑ์การติดตามและการจัดการซากอุปกรณ์ และกำหนดหลักเกณฑ์การห้ามถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ของ Solar Rooftop หลังหมดอายุการใช้งานแล้ว โดยให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน

4. กำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงาน เพื่อตรวจสอบ และติดตามการติดตั้งอุปกรณ์ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้

5. กำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง ร่าง พ.ร.บ.ฯ

“ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์กับทั้งรัฐ และประชาชน เป็นการลดการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศ เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งพลังงานราคาถูก ลดภาระค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน ลดการซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนสูง และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประชาชน สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เอง ได้ทั้งในเขตเมือง และพื้นที่ทางไกล อันเป็นนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล” รองโฆษกรัฐบาล ระบุ

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายด้านพลังงาน โดยราคาพลังงานจะมีความผันผวนตามสถานการณ์พลังงานโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของประเทศ ทำให้ประชาชนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน ต้นทุนของเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นพลังงานทางเลือกที่มีศักยภาพสูง และมีแนวโน้มต้นทุนต่อหน่วยการผลิตไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดทั้งปี

อย่างไรก็ตาม การติดตั้ง Solar Rooftop ยังมีข้อจำกัด ซึ่งไม่เอื้อต่อการส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อย่างเป็นระบบ โดยประชาชน และภาคธุรกิจ ประสบปัญหาความล่าช้าในกระบวนการขอรับใบอนุญาต หรือการจดแจ้งยกเว้นเกี่ยวกับการติดตั้ง เพื่อใช้เองจากหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ

นอกจากนี้ กระบวนการในการพิจารณาการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าดังกล่าว ยังคงต้องอาศัยการประสานงานจากหน่วยงานภาครัฐหลายฝ่าย ทำให้เกิดภาระด้านเอกสาร ด้านเวลา และค่าใช้จ่าย อันมาจากขั้นตอน และการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกันจากปัญหาดังกล่าว

ปัจจุบัน กำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศมีประมาณ 55,707 เมกะวัตต์ โดยเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงและพลังงานทุกประเภท เฉลี่ยประมาณ 25,000 เมกะวัตต์ (รวมถึงการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์) โดย พ.ร.บ.นี้ ไม่กระทบต่องบประมาณและการสูญเสียรายได้ภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนมาจำหน่ายให้ประชาชนเป็นปริมาณที่สูงกว่าการผลิตไฟฟ้าจำหน่ายเอง ทำให้ภาระค่าค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของ กฟผ. คือ ค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงงานเอกชน (กฟผ. ผลิตไฟฟ้าเอง เป็นสัดส่วน 29% (16,261 เมกะวัตต์) เท่านั้น ส่วนที่เหลือ 71% เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ และจ้างเอกชนผลิต) ดังนั้น ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่าย จึงเป็นของโรงไฟฟ้าเอกชน และผู้ที่เสียสูญเสียรายได้เป็นหลัก จึงเป็นโรงไฟฟ้าเอกชนมิใช่ กฟผ.

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ค. 68)