
ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในวันพุธ (30 ก.ค.) ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบของมาตรการภาษีต่อผลประกอบการ หลังจากบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Adidas, Porsche และ Aston Martin ส่งสัญญาณอาจปรับขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีขึ้นหลังจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการด้วย
- ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 550.24 จุด ลดลง 0.12 จุด หรือ -0.02%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,861.96 จุด เพิ่มขึ้น 4.60 จุด หรือ +0.06%,
- ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,262.22 จุด เพิ่มขึ้น 44.85 จุด หรือ +0.19% และ
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,136.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.62 จุด หรือ +0.01%
บรรดานักลงทุนต่างจับตารายงานแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกที่ออกมาหลังจากความไม่แน่นอนทางการค้ากดดันตลาด
กลุ่มยานยนต์เป็นกลุ่มที่ลดลงหนักที่สุด โดยผู้ผลิตรถยนต์หรูของยุโรปอย่าง Porsche ร่วง 1.6% และ Aston Martin ร่วงลงถึง 10% หลังประกาศปรับขึ้นราคารถยนต์ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เนื่องจากผลกระทบจากภาษี
หุ้น Mercedes-Benz ของเยอรมนี ร่วงลง 3.4% หลังบริษัทประเมินว่าภาษีจะส่งผลกระทบราว 420 ล้านดอลลาร์
Adidas ก็เตือนเช่นกันว่าอาจต้องขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐฯ หลังระบุว่าภาษีจะเพิ่มต้นทุนในช่วงครึ่งหลังของปีประมาณ 200 ล้านยูโร หรือราว 231 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ราคาหุ้นดิ่งลง 11%
แม้กระนั้น นักวิเคราะห์โดยรวมยังคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทต่าง ๆ จะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) บรรลุข้อตกลงลดภาษีสินค้าจากยุโรปเหลือ 15% โดยช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการค้าที่รุนแรงยิ่งขึ้น
หุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งได้รับผลกระทบจากประเด็นการค้าน้อย ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเป็นวันที่สอง และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2553
หุ้น UBS ของสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้น 1.1% หลังรายงานกำไรไตรมาสสองเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากปีก่อน ขณะที่หุ้น HSBC Holdings ร่วงลง 3.8% หลังมีกำไรก่อนหักภาษีครึ่งปีแรกต่ำกว่าคาดการณ์
หุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์ลดลง 1.7% โดยหุ้น IMCD ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์เฉพาะทางของเนเธอร์แลนด์ร่วงลง 12.5% แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ก.ค. 68)