
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินแนวโน้มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2568 ว่า ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติบางส่วน ชะลอการตัดสินใจลงทุนในไทย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติที่ต้องการขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน ยังคงเดินหน้าลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง
การประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติที่มีแผนลงทุนในไทย เพื่อเป็นฐานการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไป เพื่อรอผลการเจรจาและรอความชัดเจนของอัตราภาษี ขณะที่การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมารองรับการเติบโตของตลาดอาเซียน เช่น การตั้งศูนย์ Data center ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
- คาดปีนี้ ยอดโอนที่ดินในนิคมฯ ลดลงเหลือ 3 พันไร่
สำหรับความต้องการที่ดินขนาดใหญ่เพื่อจัดตั้งโรงงาน ยังมีไม่มากเท่าในช่วงก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการลงทุนต่อโครงการที่มีแนวโน้มลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับในช่วงก่อน ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า โดยพบว่า ในช่วงไตรมาส 1/68 ยอด Pre-Sale ของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม ยังคงเติบโตราว 16% สอดคล้องกับตัวเลขมูลค่าอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในภาพรวม และคาดว่าการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ในช่วงต้นไตรมาส 2/68 จะทำให้ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมชะลอตัวลงในช่วงที่เหลือของปี
ขณะที่การขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกราว 5,000 ไร่ ตามการประกาศแผนพัฒนาและเปิดพื้นที่ใหม่ปี 68 โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่นิคมฯ เดิมใน จ.ระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ EEC ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นทำให้คาดว่าในปี 68 นี้ ยอดโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม จะลดลงมาเหลืออยู่ 3,000 ไร่ จากปี 67 ซึ่งอยู่ที่ 4,700 ไร่
ส่วนความต้องการพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในปี 68 คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัว มาอยู่ที่ 2% จาก 6% ในปี 67 ซึ่งเป็นผลจากการชะลอการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนต่างชาติบางส่วนเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี ความต้องการใช้พื้นที่โรงงานสำเร็จรูป ยังได้อานิสงส์จากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เดินหน้ากระจายฐานการผลิตมาไทย เพื่อขยายตลาดในไทยและอาเซียน โดยการเช่าโรงงานสำเร็จรูป จะช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างโรงงานและสามารถเริ่มต้นการผลิตได้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ผู้ประกอบการพื้นที่เช่าโรงงานสำเร็จรูปส่วนใหญ่ ยังคงระมัดระวังการลงทุนขยายหรือเปิดพื้นที่ใหม่ โดยปริมาณพื้นที่เปิดใหม่ของโรงงานสำเร็จรูป มีแนวโน้มใกล้เคียงกับความต้องการใช้งานพื้นที่เช่าที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้อัตราเช่าพื้นที่ในปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 92% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า อีกทั้งปัจจุบันผู้ประกอบการยังให้ความสำคัญมากขึ้นกับการพัฒนาโรงงานแบบ Build-to-Suit ที่สามารถปรับแบบก่อสร้างได้ตามความต้องการเฉพาะของผู้เช่า และมีการตกลงทำสัญญาเช่าระยะยาว ซึ่งสามารถสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงได้
- พื้นที่ EEC ยังได้เปรียบในการดึงดูดลงทุนจากต่างชาติ
SCB EIC มองว่า การแข่งขันในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในภาพรวม จะเน้นสร้างความได้เปรียบในด้านที่ตั้ง (Locations) คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐาน (Quality of infrastructure) และระบบสาธารณูปโภค (Utility supply) ดังนั้น ผู้ประกอบการที่มีที่ดินพร้อมขาย หรือพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปพร้อมให้เช่าในพื้นที่ EEC จึงมีความได้เปรียบในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติมากกว่าพื้นที่อื่น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าว มีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบคมนาคมขนส่ง และสาธารณูปโภคที่ครบวงจร รวมถึงนโยบายภาครัฐที่มอบสิทธิประโยชน์ให้แก่นักลงทุน เช่น สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี
ขณะที่การลงทุนนอกพื้นที่ EEC ได้สิทธิสูงสุด 8 ปี ประกอบกับความพร้อมของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ในหลากหลายอุตสาหกรรมจากการเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติในช่วงก่อนหน้า ทำให้พื้นที่ EEC ยังมีศักยภาพในการดึงดูดการเข้ามาลงทุนในไทยได้อีกต่อเนื่องในระยะข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในพื้นที่ EEC
นอกจากนี้ การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทั้งการนำเสนอบริการด้านสิ่งแวดล้อมแบบครบวงจร (Sustainable solutions) ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีภายในนิคมอุตสาหกรรม เช่น การจัดการสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพ, ระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ และการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกันตามแนวคิด Industrial symbiosis จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดการลงทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมได้ในระยะยาว
- ความท้าทายของผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม
SCB EIC ระบุว่า ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมของไทย ยังต้องเผชิญความท้าทาย ดังนี้
- ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนบางกลุ่มอาจพิจารณาลงทุนในประเทศอื่นที่มีอัตราภาษีต่ำกว่าแทน
- นโยบายส่งเสริมการลงทุนของประเทศอาเซียน ที่มีโอกาสดึงดูดนักลงทุนให้พิจารณาทางเลือกอื่นนอกจากไทย เช่น เวียดนาม ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ใกล้เคียงกับไทย และมาเลเซีย ที่มีแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ร่วมกับสิงคโปร์ในรัฐยะโฮร์บาฮ์รู ซึ่งจะกลายเป็นพื้นที่สำคัญ ที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
- รูปแบบการเข้ามาลงทุน ที่มีแนวโน้มเป็นการจัดตั้งโรงงานผลิตบางชิ้นส่วนของ Supply chain มากกว่าการย้ายฐานการผลิตเต็มรูปแบบ
- ความเปราะบางของสถานภาพการเมืองไทย ที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ
- การปรับเปลี่ยนนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ เช่น การปรับเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์การลงทุน เพื่อป้องกันการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตขั้นสุดท้าย สำหรับหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี รวมถึงการตั้งอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ ที่ไทยได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจน้อย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ มีแนวโน้มกดดันความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่าในไทยในระยะข้างหน้า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (31 ก.ค. 68)