
นายนิพนธ์ พัวพงศกร รองนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานเสวนา “Trump’s Tariffs ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร” ว่า ถึงแม้สหรัฐและไทยจะยังไม่เปิดเผยรายละเอียดดีลการค้าและข้อตกลงอื่น ๆ ในการเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ แต่หน่วยงานรัฐบาล เอกชน และวิชาการ ก็ควรเร่งศึกษาผลกระทบในอุตสาหกรรมที่เก็งว่าจะมีส่วนเกียวข้องอย่างลึกซึ้ง โดยปัจจุบัน มีเพียงการประเมินภาพรวมเบื้องต้นบนสื่อต่าง ๆ เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อการรับมือให้เหมาะสม
อย่างเช่น สินค้าเกษตรสหรัฐฯ ที่ไทยตกลงว่าจะซื้อเพิ่มนั้น อาจจะมีการลดภาษีนำเข้า 0% สำหรับกากถั่วเหลือง ข้าวโพด ที่นำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีมากกว่าผลเสีย และอาจจะเป็นสาเหตุสำคัญที่สหรัฐยอมลดอัตราภาษีให้ไทยเหลือ 19% เพราะสหรัฐฯ สูญเสียตลาดจีนไปมากแล้วจากสงครามการค้า
ขณะที่นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร [CPF] กล่าวว่า การนำเข้ากากถั่วเหลือง-ข้าวโพดจะเป็นประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการไทย ทั้งในด้านต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ถูกลง และการที่สหรัฐฯ ไม่เผาไร่ในการทำเกษตร ต่างกับเมียนมา ลาว หรือบราซิล ซึ่งเป็นประเทศหลักที่ไทยนำเข้าสินค้าเหล่านี้ ก็จะทำให้ผู้ประกอบการได้ลดการปล่อยมลพิษในขั้นตอนการผลิต และอาจจะได้คาร์บอนเครดิตตามมาอีกด้วย รวมถึง CPF เองก็จะรีบจัดตั้งทีมนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ เช่น ผลไม้ฤดูหนาว เพื่อใช้โอกาสภาษี 0%
อย่างไรก็ตาม นายประสิทธิ์ กังวลถึงการเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ อย่างมาก แม้จะยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงชัดเจน แต่เนื้อหมูสหรัฐใช้สารเร่งเนื้อแดง ขณะที่ประเทศไทยควบคุมไม่ให้มีการใช้มาถึง 30 ปีแล้ว จึงอาจกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในผู้ประกอบการรายย่อยที่คิดเป็นประมาณ 35% ของทั้งประเทศ ถ้าหากเปิดช่องทางให้ไทยสามารถนำเข้าเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงจริง การควบคุมคุณภาพหมู รวมทั้งการลักลอบเข้ามาของหมูเถื่อนนั้นก็จะลำบากขึ้นด้วย
ด้านนายสัมพันธ์ ศิลปนาฏ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ และอุปนายกสมาคมเซมิคอนดักเตอร์ ข้อตกลงภาษีกับสหรัฐช่วยคลายความกังวลให้กับภาคอุตสาหกรรมไปอย่างมาก อย่างเรื่องการย้ายฐานการผลิต ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะไทยยังสามารถแข่งขันได้ต่อ และเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญก็ไม่ติดขัด ส่วนประเด็นเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ นายสัมพันธ์มั่นใจว่าอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทยไม่มีแน่นอน
“สินค้าสวมสิทธิ์ ทางอิเล็กทรอนิกส์ไม่กลัว เพราะเราทำความสะอาดตรงนี้มา 6 ปีแล้ว เราเคยถูกตั้งประเด็นนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ถ้าใครจำได้ตอนนั้นสหรัฐฯ กับจีนกำลังทะเลาะกัน เราถูกข้อจำกัดเยอะมากในการผลิตหรือสวมสิทธิ์กับอะไร ตอนนี้อิเล็กทรอนิกส์ไทยจึงคลีนมาก ไม่ต้องกังวล เราพร้อมรับตรงนี้ เรากังวลแค่เลข 19% นี้จะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน รายละเอียดอย่างไร และสหรัฐฯ จะให้สิทธิ์ประเทศอะไรมากกว่าเรา” นายสัมพันธ์ กล่าว
จึงแนะนำให้ติดตามสถานการณ์ซัพพลายเซนโลกที่มีความเสี่ยงจากการจัดระเบียบการค้านานาชาติใหม่ และทุกองค์กรก็ควรเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนและคู่แข่งทางการค้าประเทศอื่น ๆ ได้ แต่ที่สำคัญคือไม่ว่าจะใช้วิธีการลดต้นทุนใด ๆ ก็ไม่ควรลดค่าแรงอย่างเด็ดขาด เพราะอุตสาหกรรมจะไม่เติบโตจากการลดค่าแรง
รวมถึงต้องติดตามผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ หลังเริ่มมีผลด้วย ซึ่งภาคอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้เร่งส่งออกไปมากเมื่อครึ่งปีแรก ทำให้อุตสาหกรรรมอาจจะเกิดการชะลอตัวในครึ่งปีหลัง และต้องดูผลกระทบต่อรายได้ เนื่องจากสินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีอัตราในการกำไรค่อนข้างต่ำ และภาษี 19% สามารถเข้ามากินส่วนแบ่งได้พอสมควร
ด้านนายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า อัตราภาษีสหรัฐเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ เท่านั้น จึงได้แนะนำทางรอดของไทยต่าง ๆ ดังนี้
- สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการเข้าถึงทรัมป์: โดยอาจจะเป็นการร่างหนังสือถึงกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลถึงบทบาทของทรัมป์ในการสนับสนุนการเจรจายุติยิงของไทย-กัมพูชา รวมทั้ง อาจจะเสนอให้ทรัมป์ใช้ประเทศไทยเป็นที่เจรจาสันติภาพระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ซึ่งไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสองประเทศ ซึ่งทรัมป์ได้ออกมาพูดอยู่ตลอดว่าเขาควรจะได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
หรืออีกทางหนึ่ง อาจจะส่งจดหมายไปยังทำเนียบขาวเพื่อเชิญชวนให้ทรัมป์เข้ามาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยนายพิศาล กล่าวว่า ทรัมป์เป็นคนที่หลงไหลประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ อย่างเช่นอังกฤษ ซึ่งก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อังกฤษได้รับอัตราภาษีที่ต่ำ
- ลดการพึ่งพาจีน: โดยการพึ่งพาแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะไม่รับรองโครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคตระยะยาวได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือภาคการท่องเที่ยว ในอดีตไม่เคยจำเป็นต้องพึ่งนักท่องเที่ยวจีนมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้เมื่อนักท่องเที่ยวจีนชะลอลงกลับทำให้ประเทศไทยเดือดร้อนหนักมาก แม้ว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นก็เติบโตขึ้นก็ตาม อีกทั้ง การที่นักท่องเที่ยวจีนที่หายไปก็อาจจะเป็นผลดีกับการลดลงของทุนจีนที่เข้ามากระทบ SME ไทยโดยตรง
- เร่งหาตลาดใหม่: มุ่งช่วยผู้ประกอบการสายป่านสั้น โดยทั่วโลกตอนนี้มีหลายตลาดที่มีศักยภาพ เช่นตลาดอินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งมีทรัพยากรอยู่มาก แต่ไทยกลับไม่ได้ให้ความสนใจนัก ถ้าหากไทยสามารถจับตลาดกลุ่มนี้ได้เร็ว ได้ก่อนประเทศอื่นก็จะเป็นผลดีให้กับผู้ประกอบการในระยะยาว
- เร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับตลาดหลัก: ที่ผ่านมา ไทยไม่เคยจริงจังกับการเซ็นสัญญา FTA กับประเทศคู่ค้าหลักจริง ๆ เลย ทำให้เราเสียโอกาสตรงนี้ไปมาก เมื่อเทียบกับเวียดนามที่มี FTA กับหลายประเทศสำคัญ และรวมถึงแนะนำให้ไทยพิจารณาเข้าร่วมข้อตกลงความครอบคลุมและความก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางการค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) สักที หลังจากที่เคยการพูดถึงเมื่อนานมาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีข้อแนะนำอื่น ๆ ได้แก่
- ประเมินการใช้ประโยชน์จาก FTA ที่มีอยู่ และส่งเสริมการใช้ให้เต็มศักยภาพ
- วิเคราะห์ เผยแพร่ และส่งเสริมสินค้าไทยล้วนที่ยังได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯ
- ทุ่มงบเยียวยา เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสู่โครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคต
“เราต้องสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการ และเราต้องได้ผลประโยชน์ของเราด้วย ภาษีทรัมป์ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องการเจรจาการค้า ไม่เรื่องของกระทรวงพาณิชย์ แต่เป็นเรื่องของการเดินหมากทางการทูตทั้งสิ้น” นายพิศาล กล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 68)