กกร. เพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้โต 1.8-2.2% หลังส่งออกฉายแววเกินคาด

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 68 มาอยู่ที่ 1.8-2.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 1.5-2.0% รวมทั้งปรับเพิ่มประมาณการส่งออก ไทยปีนี้ เป็น 2-3% จากเดิม -0.5 ถึง 0.3% ซึ่งจากความสำเร็จในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลให้สินค้าจากไทยจะถูกเรียกเก็บ ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (Reciprocal tariffs) ในอัตรา 19% ลดลงจากที่สหรัฐฯ เคยประกาศไว้ที่ 36% ซึ่งทำให้สินค้าจากไทยจะไม่ เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร.

ตัวชี้วัด (%YoY)ม.ค.-เม.ย.68พ.ค.68มิ.ย.68ก.ค.68ส.ค.68
GDP2.4 ถึง 2.92.0 ถึง 2.21.5 ถึง 2.01.5 ถึง 2.01.8 ถึง 2.2
ส่งออก1.5 ถึง 2.50.3 ถึง 0.9-0.5 ถึง 0.9-0.5 ถึง 0.32.0 ถึง 3.0
เงินเฟ้อ0.8 ถึง 1.20.5 ถึง 1.00.5 ถึง 1.00.5 ถึง 1.00.5 ถึง 1.0

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้ มีแนวโน้มชะลอตัว โดยการส่งออกอาจแผ่วลง หลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่ง ส่งออกก่อนมาตรการภาษีสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในเดือนส.ค.68 นอกจากนี้ จะมีการแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น ภาวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลงจากปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตัวลง และผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา

พร้อมมองว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และต้นปี 69 อาจะมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะภาคส่งออก ที่จะ ได้รับผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้นจากกรณีภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่สูงขึ้น ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละประเภท สินค้า และปริมาณสต็อกสินค้าที่แตกต่างกัน

ที่ประชุม กกร. เห็นว่า ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า ในระยะสั้น การแข่งขันด้านราคาจะเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกและสินค้าที่ขายในประเทศที่จะแข่งขันกับสินค้าที่ไทยเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะ กระทบกลุ่มที่มี Margin ต่ำ และต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงภาษี transshipment รวมถึงบังคับใช้ กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนพิธีการศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศ

“นโยบายการค้าของสหรัฐฯ เป็น Wake-up Call ให้ไทยใช้โอกาสนี้ ในการปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน ในระยะยาวของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SME ทั้งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม กำหนด Priority Sectors ให้สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ประเทศ ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเพิ่ม local content เพิ่ม Productivity ลดต้นทุน ใช้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ยกระดับทักษะแรงงานของไทยในประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจที่แท้จริง” นายผยง ระบุ

ขณะเดียวกัน กกร. เห็นว่าไทยยังขาดข้อมูลสำคัญด้านโครงสร้างการผลิตรายอุตสาหกรรม เช่น การใช้วัตถุดิบขั้นต้นและขั้น กลางในประเทศ รวมถึง Regional Value Content (RVC) ซึ่งภาคเอกชนได้เริ่มสำรวจและเก็บข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติ ได้ตามเงื่อนไขการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี เพื่อให้มีฐานข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ และหน่วยงานของรัฐที่รับผิด ชอบเรื่องนี้โดยตรง เพื่อการตัดสินใจและเจรจาภายใต้การค้าโลกรูปแบบใหม่ (New trade paradigm) บทบาทของไทยในอาเซียน สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก

*ห่วงปมสวมสิทธิ์ ฉุดสินค้าไทยเสี่ยงโดนเก็บ 40% ชี้ไม่ควรเหมาเข่ง

นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เรื่องภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยัง ไม่จบ เพราะต้องมีการเจรจาในรายละเอียดของสินค้าแต่ละตัวที่มีความแตกต่างกัน ไม่สามารถที่จะคิดรวมแบบเหมาเข่ง โดยเฉพาะใน ประเด็นเรื่องการสวมสิทธิ์ อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้าง และหากไม่มีความชัดเจนก็จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าใน อัตรา 40%

ส่วนผลกระทบจากปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชานั้นต้องรอดูผลสรุปจากการประชุม GBC ในวันพรุ่งนี้ หากสามารถตกลงกันได้ และเปิดด่านในจุดที่ไม่มีความตึงเครียดก็จะช่วยลดผลกระทบลงได้ ซึ่งปกติจะมีปริมาณการค้าราววันละ 500 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 400 ล้านบาท และนำเข้า 100 ล้านบาท

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นนี้น่า จะเป็นโอกาสทองในการลงทุนสร้างห่วงโซ่การผลิตให้มีความมั่นคง และในวันพรุ่งนี้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจะมีการพิจารณาว่าจะมี มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคิดว่าภาระภาษีที่เกิดขึ้นจะถูกผลักไป ให้ผู้บริโภค

“เรามีอุตสาหกรรมขั้นต้นและกลางน้ำที่เป็นห่วงโซ่การผลิตที่มีความลึกและกว้าง ซึ่งน่าจะได้เปรียบประเทศคู่แข่งในเรื่อง การสวมสิทธิ์ แต่ต้องให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือ” นายพจน์ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 68)