โบรกให้น้ำหนักหุ้น ICT มากกว่าตลาด ชู TRUE โดดเด่นเหนือ ADVANC มองโอกาสกำไรโตสูง

บล.กรุงศรี ให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่ม ICT มากกว่าตลาด และยังชอบกลุ่มนี้อยู่ ด้วย 3 เหตุผลหลัก ได้แก่

  1. การลดจำนวนผู้เล่นจาก 3 ราย เหลือ 2 ราย ทั้งในเน็ตบ้านและมือถือ ทำให้การแข่งขันลดลง โดยเฉพาะเรื่องราคาที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป หลังความสามารถในการแข่งขันและฐานลูกค้าออกมาใกล้เคียงกันจากการควบรวม TRUE-DTAC
  2. กำไรของกลุ่มคาดว่าจะยังอยู่ในขาขึ้นอยู่อีกอย่างน้อย 2-3 ปีข้างหน้า โดยในปี 68 นี้ก็คาดว่ากำไรของกลุ่มจะโตประมาณ 28% (ADVANC 17%, TRUE 71%) และอีก 17% ในปี 69 (ADVANC 9%, TRUE 35%)
  3. การลงทุนใหญ่ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เช่น การประมูลคลื่นความถี่ ทำให้กระแสเงินสดก็เป็นขาขึ้น

นายปฏิภาค นวาวัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กรุงศรี กล่าวว่า ประมาณ 70-80% ของมูลค่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT ทั้งหมดมาจากหุ้น ADVANC กับ TRUE เพียงแค่ 2 ตัว ทั้งในเครือข่ายมือถือและเน็ตบ้าน ดังนั้น ผู้เล่นรายใหญ่ 2 เจ้านี้จะเป็นตัวแทนภาพรวมภาคอุตสาหกรรมได้ดีที่สุด

โดยธุรกิจเครือข่ายมือถือยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของผู้ให้บริการทั้ง 2 เจ้า โดยข้อมูลไตรมาส 1/68 เปิดเผยว่ารายได้จากเครือข่ายมือถือคิดเป็น 75% ของโครงสร้างรายได้ทั้งหมดของ ADVANC ขณะที่ TRUE คิดเป็น 79% ตามมาด้วยธุรกิจอินเตอร์เน็ตบ้านที่ 19% สำหรับ ADVANC และ 15% สำหรับ TRUE

ทั้งนี้ ธุรกิจเครือข่ายมือถือใกล้เข้าสู่ภาวะอิ่มตัวเต็มที่แล้ว สะท้อนด้วยตัวเลขอัตราการเข้าถึง (penetration rate) ของประชากรทั้งประเทศที่ 142% แปลว่าคนไทยใช้มือถือหรือซิมโทรศัพท์มากกว่า 1 ซิม ดังนั้น ความหวังว่าจะมีลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการ ADVANC หรือ TRUE เป็นไปได้ยากมาก ส่วนฐานคนใช้ซิมเติมเงิน (Prepaid) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนการเติบโตสำคัญให้กับทั้งสองบริษัท ก็จะเห็นว่าปัจจุบันแทบจะไม่โตแล้ว ทำให้ภาพการอิ่มตัวค่อนข้างชัดเจน

ขณะที่ธุรกิจเน็ตบ้าน แม้ตอนนี้ยังมีสัดส่วนรายได้ที่ไม่มาก แต่มีโอกาสเติบโตได้อีกมากเมื่อเทียบกับธุรกิจเครือข่ายมือถือ เห็นได้จากตัวเลข penetration rate ในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 35% จากครัวเรือนทั้งประเทศประมาณ 20 ล้านครัวเรือน ทำให้ ADVANC และ TRUE สามารถหาลูกค้าใหม่ในส่วนนี้ได้ ดังนั้น เน็ตบ้านจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการติดตามการเติบโตของทั้งสองบริษัท เมื่อธุรกิจเครือข่ายมือถืออิ่มตัว

แต่ทั้งนี้ ธุรกิจเน็ตบ้านยังมีสัดส่วนที่เล็กเกินไป ดังนั้น การเติบโตหลักจึงยังจะมาจากการปรับราคา หรือเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ (ARPU) ของบริการเครือข่ายมือถือ ทำให้รายได้รวมของ ADVANC และ TRUE จะโตในระดับเดียวกับ GDP ของไทย และแม้ว่าอุตสาหกรรมจะเข้าสู่จุดอิ่มตัว

ด้าน ARPU ได้เห็นแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากการควบรวม คาดว่าจะเป็นการเพิ่มราคาเข้ามาทดแทนรายได้ที่หายไปจากสถานการณ์โควิด-19 หลัง กสทช.ได้กดดันราคาไว้เพื่อลดภาระให้กับประชาชนในช่วงนั้น และยังหมายความว่า ARPU จะปรับขึ้นได้ต่อ เพราะการเพิ่มตอนนี้ยังเป็นแค่การชดเชยเท่านั้น

ทั้งเน็ตบ้านและมือถือก็ต่างมี ARPU ที่เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดตั้งแต่ปี 66 ซึ่ง TRUE จะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สูงกว่า ADVANC เพราะค่าเฉลี่ยเดิมของ TRUE นั้นต่ำกว่าคู่แข่ง จึงสามารถปรับขึ้นได้แรง และยังมีพื้นที่ให้เพิ่ม เพื่อให้ราคาให้ใกล้เคียงกับ ADVANC โดย ณ ไตรมาส 1/68 TRUE มี ARPU สำหรับเครือข่ายมือถือที่ 214 บาท และ ADVANC ที่ 228 บาท

รวมถึง ต้นทุนค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร โดยเฉพาะการตลาด ก็จะลดลงตามการแข่งขันด้วย โดยก่อนที่จะมีการควบรวม ด้าน ADVANC มี EBITDA อยู่ที่ 46.7% ซึ่งเพิ่มขึ้นมาเป็น 53.37% ในไตรมาส 1/68 ขณะที่ TRUE ก็เพิ่มจาก 43.0% เป็น 49.13% และยังสะท้อนให้เห็นในกำไรที่เพิ่มขึ้นทุกไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 4/66

เหตุผลที่คาดว่ากำไรของ TRUE จะสามารถโตในปีนี้ได้ถึง 71% นั้น เพราะบริษัทฯ ยังมีพื้นที่ให้ขยายตัวอยู่เมื่อเทียบกับกำไรของ ADVANC ที่สูงมากแล้ว โดย ADVANC มีกำไรปี 67 ที่ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ TRUE มีเพียง 9 พันล้านบาท ทั้ง ๆ ที่รายได้รวมของทั้ง 2 บริษัทใกล้เคียงกันมาก ทำให้เห็นได้ว่า TRUE ยังมีโอกาสตัดลดต้นทุนได้ต่อ เพื่อขยายอัตรากำไรโดยไม่ต้องพึ่งพาการเพิ่มขึ้นของรายได้

และที่ผ่านมา TRUE เป็นบริษัทที่มีหนี้สูงมากกว่า ADVANC ประมาณเท่าตัว แต่กลุ่ม ICT ก็มีแนวโน้มกระแสเงินสดอิสระเป็นขาขึ้น ถ้าหาก TRUE สามารถใช้ประโยชน์จากส่วนนี้มาลดหนี้ได้ให้ใกล้เคียงกับ ADVANC อัตรา EV/EBITDA ของ TRUE จะลดลงไปเหลือ 6.06 เท่า ซึ่งต่างกับ 9.79 เท่าของ ADVANC อย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น TRUE จึงเป็นตัวเลือกของบล.กรุงศรี โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 18.00 บาท ส่วน ADVANC ให้ 350.00 บาท

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่มีต่อการประเมินการนั้น มาจาก

  1. กรณีเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงกว่าที่เห็นในปัจจุบัน และผู้ใช้บริการมีกำลังซื้อน้อยลง
  2. กรณีการแข่งขันด้านราคากลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง ไม่ว่าจะจากผู้เล่นเดิม หรือผู้เล่นใหม่
  3. กรณีมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี เช่นการเข้ามาของ 6G ทำให้งบลงทุนสูงของอุตสาหกรรมที่ได้หยุดนิ่งไป ต้องกลับมาอีกครั้ง แต่ความเสี่ยงในส่วนนี้ค่อนข้างต่ำ เพราะ 6G คาดว่าจะใช้ต้องเวลาอย่างน้อยอีก 5 ปีอย่างต่ำ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 68)