นายสมเกียติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในการสัมมนา “Navigating Global Shifts: Strengthening Thailand Economic Competitiveness” ว่า เศรษฐกิจไทยในอนาคต จะถูกกำหนดโดยปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.สงครามการค้า 2.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 3.อิทธิพลจากการที่จีนเข้าสู่ตลาดโลก
ประการแรก ในกรณีของสงครามการค้าและภาษีใหม่ของสหรัฐฯ มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างน้อย คือ
- เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง เพราะการค้าที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อการแบ่งงานกันทำ และประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
- การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ จะทำได้ยากขึ้น เนื่องจากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้าจากไทยที่ 19% ทำให้สินค้าราคาสูงขึ้น การนำเข้าจึงลดลง และยอดการส่งออกโดยรวมของไทย คาดว่าจะลดลงด้วย
- สินค้าจากประเทศที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษี โดยเฉพาะจีน จะไหลเข้ามาแข่งขันในประเทศที่สาม รวมถึงประเทศไทย
- เปิดตำราสู้ “การขาดดุล ไม่ได้แปลว่า ขาดทุน”
สำหรับสาเหตุที่สินค้าไทยถูกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) จากสหรัฐฯ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากที่ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมาก และสัมพันธ์กับการขาดดุลการค้ากับจีน เนื่องจากฐานการผลิตได้ย้ายจากจีนมายังอาเซียน รวมถึงไทยด้วย พร้อมมองว่า มาตรการภาษีของสหรัฐฐฯ จะส่งผลให้โครงสร้างเศรษฐกิจ และวิถีการทำมาหากินของไทย อาจต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
นายสมเกียรติ มองว่า จากนี้ไป ไทยอาจจะต้องทบทวนความรู้เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศที่ว่า “การขาดดุลการค้า” ไม่ได้แปลว่า “ขาดทุน” และการนำเข้าสินค้าอาจเป็นประโยชน์ได้ โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากแรงกดดันของภาษีสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจเป็นโอกาสในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทยในแต่ละเรื่องได้ เช่น
- การลดภาษีศุลกากร: ประเทศเล็กอย่างไทย ควรเก็บภาษีศุลกากรในอัตราที่ต่ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค (สินค้าถูกลง) และมีโอกาสปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหากสินค้านำเข้าเป็นวัตถุดิบ เครื่องจักร หรือแผงโซลาร์เซลล์ การปฏิรูปอัตราภาษีให้เหลือเพียงไม่กี่อัตรา จะช่วยลดการทุจริต และทำให้กระบวนการศุลกากรง่ายขึ้น
- การยกเลิกโควตานำเข้า: สหรัฐฯ ชี้ให้ไทยทำหลายเรื่องที่ไทยควรทำเองอยู่แล้ว เช่น การมีโควตานำเข้าสินค้าบางรายการ (กาแฟ, ถั่วเหลือง) ซึ่งทำให้เกิดการบิดเบือนทางธุรกิจ (เช่น ธุรกิจคั่วกาแฟไม่เติบโต) และปัญหาสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5 จากการปลูกข้าวโพดสำหรับอาหารสัตว์)
- ปราบปรามสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์: การมีสินค้าปลอม ทำให้เศรษฐกิจไทยเป็นสีเทา ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยได้
- แก้ไขปัญหา “สินบนนำจับ” ของศุลกากร: การที่ข้าราชการศุลกากร ได้รับส่วนแบ่งจากการเรียกเก็บภาษีที่ไม่ถูกกฎหมาย เป็นสิ่งที่นักธุรกิจบ่นเป็นประจำ และจะเป็นโอกาสในการปรับปรุงไม่ให้เกิดการกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกกฎหมาย
- เปิดเสรีธุรกิจผูกขาด: เช่น บริการโทรคมนาคม การกดดันให้เปิดเสรีจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
- ปรับปรุงกระบวนการออกกฎหมาย: การรับฟังความคิดเห็นในการออกกฎหมายของไทย ยังไม่ค่อยมีมาตรฐาน
ส่วนปัจจัยประการที่สอง เรื่องความท้าทาย และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น นายสมเกียรติ มองว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 4 ประการ ได้แก่ ทะเลสูง แผ่นดินต่ำ น้ำท่วมแรง แห้งแล้งจัด และวิบัติคลื่นร้อน
โดยผลกระทบต่อธุรกิจ: ไม่ว่าจะเป็นเกษตร อุตสาหกรรม (เช่น โรงงานในอยุธยาถูกน้ำท่วม) หรือบริการ (เช่น การท่องเที่ยวกลางแจ้งในเวลากลางวันจะยากขึ้น ธุรกิจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบไปท่องเที่ยวในร่มมากขึ้น หรือเปลี่ยนเวลาเป็นกลางคืน)
ขณะที่แรงกดดันจากภายนอก แม้แผนลดก๊าซเรือนกระจกของไทย (NDC) จะยังไม่ก้าวหน้าเท่าหลายประเทศ แต่ธุรกิจรอไม่ได้ เพราะมีแรงกดดันจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เช่น
- ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน ของสหภาพยุโรป (CBAM)
- หน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินและการเดินเรือ
- ผู้ซื้อรายใหญ่ เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ที่จะกดดันให้ Supplier ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- นักลงทุนต่างประเทศ ที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหลายบริษัทตั้งเป้าใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 100% (เช่น Seagate, Western Digital, Delta Electronics ในไทย)
สำหรับโอกาสที่ธุรกิจของไทยจะปรับเปลี่ยนไปสู่การเป็น “ธุรกิจสีเขียว” ได้นั้น จะต้องเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับธุรกิจของไทยก่อน เช่น ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนสามารถแข่งขันได้กับการผลิตจากแก๊ส นอกจากนี้ การลดการปล่อยคาร์บอน จะต้องไม่ทำเพียงเพราะกฎหมาย แต่ยังช่วยให้ธุรกิจใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีของเสียน้อยลง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
“ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งสงครามการค้า และการที่จีนทุ่มตลาดรถ EV แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์ในราคาถูก ทำให้เป็นโอกาสอันดีที่ธุรกิจจะมุ่งสู่การดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และสามารถแข่งขันได้ในอนาคต”นายสมเกีย่ติ กล่าว
ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวด้วยว่า ภาพรวมการปรับตัวและแนวทางในอนาคตของเศรษฐกิจไทยนั้น ประเทศไทยไม่สามารถตั้งรับฝ่ายเดียวได้ แต่จะต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในเรื่องเหล่านี้ เช่น
- ควรริเริ่มทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ ที่สำคัญ เช่น สหภาพยุโรป
- เพิ่มการค้าขายและการลงทุนในอาเซียน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตไม่สูงนัก การส่งออก และการลงทุนในอาเซียนจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ (ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 200 แห่งลงทุนในอาเซียนและมีรายได้เติบโตสูง)
- พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ
- การสนับสนุน SMEs แม้จะมีภาพลักษณ์ว่ามีปัญหา แต่ยังมีธุรกิจ SMEs จำนวนมากที่ดี และมีความสามารถในการแข่งขัน ธนาคารควรให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเหล่านี้ให้พร้อมรับกับโลกใหม่ ที่เต็มไปด้วยสงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สำหรับปัจจัยประการที่สาม นายสมเกียรติ ยังแนะถึงการรับมือกับสินค้าจีนที่จะไหลบ่าเข้ามาในตลาดโลก และไทยว่า ไทยไม่ควรขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับจีนโดยตรง เพราะอาจทำให้จีนตอบโต้ทางการค้ากับไทยที่เป็นประเทศเล็กกว่าและมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า นอกจากนี้ การใช้ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping duty) เป็นเรื่องยาก และใช้เวลานาน และอาจถูกประเทศคู่ค้าตอบโต้ได้
ดังนั้น วิธีการที่ไทยควรใช้ คือ การปฏิบัติต่อสินค้าที่นำเข้า และสินค้าในประเทศให้ทัดเทียมกัน เช่น
- ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้า E-commerce ที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เพื่อสร้างความทัดเทียมในการแข่งขัน
- ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรม (มอก.) อย่างเข้มข้น เช่น เหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน สินค้าที่มีสารเคมีตกค้างสูง (เช่น กรณีแบรนด์ SHEIN ในเกาหลี) เพื่อป้องกันสินค้าที่ต้นทุนต่ำ แต่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และเพื่อให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้
- ควรดำเนินการเช่นเดียวกันกับสินค้าเกษตรที่อาจมีสารเคมี และสกัดการนำเข้าสินค้าเถื่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 68)