KBANK คาดเงินเฟ้อปีนี้ 0.3% หลุดเป้าเป็นปีที่ 2 มอง กนง.รอบนี้ยังตรึงดอกเบี้ย

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลง อีกทั้งราคาพลังงานในตลาดโลก มีแนวโน้มชะลอลงมากตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่ความเสี่ยงด้านอุปทานขาดแคลน จากสงครามในตะวันออกกลางดูมีจำกัด

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์เงินเฟ้อไทยในปีนี้ ที่ 0.3% ต่ำกว่าที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ที่ 1.0% และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์ไว้ที่ 0.5%

คาด กนง.คงดอกเบี้ยรอบนี้ที่ 1.75%

พร้อมกันนี้ ห้องค้ากสิกรไทย คาดว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบวันที่ 13 ส.ค.นี้ กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับเดิมที่ 1.75% เช่นเดียวกันการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.68 โดยประเมินว่า ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงที่ลดลง โดยเฉพาะความเสี่ยงสำคัญจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ หลังจากที่ไทยได้มีข้อตกลงกับสหรัฐฯ ที่อัตรา 19% ตามคาด จากเดิมที่สหรัฐฯ ประกาศจะเรียกเก็บในอัตรา 36% เมื่อต้นเดือนเม.ย. และได้รับการผ่อนผันการปรับขึ้นภาษีมาเป็นเดือนส.ค.68

มองเงินบาทสิ้นปี ที่ 33.70 บาท/ดอลลาร์

ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทนั้น คาดว่า ณ สิ้นปี 68 เงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.70 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ระยะสั้น ยังมีความผันผวนสูงตามการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมีโอกาสจะเกิดขึ้นมากในเดือนก.ย.นี้ หลังตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ เดือนก.ค.อ่อนแอกว่าคาด และมีการปรับลดตัวเลขจ้างงานก่อนหน้าลงมาก ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีของทรัมป์ เริ่มมีความชัดเจน

อย่างไรก็ดี หลังเฟดลดดอกเบี้ยแล้ว คาดว่าตลาดจะหันมาใหน้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานของไทยที่ยังเปราะบาง โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มชะลอตัว จากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีน และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง รวมทั้งการส่งออกไทย ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบทางลบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และเงินบาทที่แข็งค่าในระยะนี้

อนึ่ง วันนี้กระทรวงพาณิชย์ รายงานอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนก.ค.68 ลดลง -0.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งหดตัวแรงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ -0.4% และนับเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่าไฟฟ้าตามมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ รวมทั้งราคาสินค้ากลุ่มผัก-ผลไม้สด และของใช้ส่วนบุคคลมีราคาลดลง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ส.ค. 68)