
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา รายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมของไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และบางครั้งการจัดสวัสดิการก็ไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ สัดส่วนประชากรที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน เพิ่มขึ้นในช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโควิด และมีการฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้าๆ
ขณะนี้ มีผู้ลงทะเบียนคนจน และถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการ ที่ได้รับสิทธิทั้งหมด 14.55 ล้านคน หากย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2555 สัดส่วนประชากรที่มีรายได้อยู่ใต้เส้นความยากจน อยู่ที่ 8.4 ล้านคนเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2545 อยู่ที่ 19.9 ล้านคน โครงการและมาตรการทางด้านสวัสดิการ เบี้ยยังชีพ มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ บางครั้งเกิดปัญหาทั้ง Inclusion Error คือผู้ไม่สมควรได้รับสวัสดิการกลับได้รับประโยชน์ และ Exclusion Error คือ ผู้ที่ควรได้รับสวัสดิการกลับไม่ได้รับ
นายอนุสรณ์ เห็นว่า การลดความยากจนหลายมิตินั้น ไม่สามารถอาศัยเพียงเงินโอนช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานทางด้านสวัสดิการ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายทางด้านสาธารณสุข การศึกษาและการพัฒนาที่อยู่อาศัย การจะแก้ปัญหาได้ต้องอาศัยวิสัยทัศน์ และแผนระยะยาว
“ในหลายประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับรายได้ของผู้ที่มีรายได้น้อยที่สุดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีสัดส่วนเกือบเป็น 1 ต่อ 1 แต่ไม่ใช่กรณีของประเทศไทย ที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสังคมค่อนข้างสูง” นายอนุสรณ์ ระบุ
พร้อมมองว่า ปัญหาระบบข้อมูลและฐานะการคลัง อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินมาตรการภาษีเชิงลบ หากจำนวนคนจนหรือผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ไม่ลดลงจากระดับปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นในอนาคต รัฐบาลอาจต้องใช้เงินงบประมาณระดับหมื่นล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินโอนช่วยเหลือให้กับประชากรยากจน ซึ่งอาจทำให้มีงบประมาณน้อยลงในการพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างรายได้ภาครัฐ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างภาษีให้มีแหล่งรายได้ภาษีจากฐานทรัพย์สินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ต้องทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยเติบโตเต็มศักยภาพ และต้องเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจให้สูงขึ้นผ่านการลงทุน
ข้อจำกัดด้านฐานข้อมูลและระบบข้อมูล ทำให้รัฐบาลไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ผู้ใดที่เป็นคนจนบ้าง แม้จะมีความพยายามในพัฒนาฐานข้อมูลด้วยการจดทะเบียนคนจนก็ตาม การให้แบบถ้วนหน้าสามารถทำได้ เมื่อประเทศมีฐานะทางการคลังที่พร้อมหรือค่าใช้จ่ายในการบริหารมาตรการแบบเฉพาะเจาะจงสูงเกินไป
ขณะเดียวกัน การให้สวัสดิการแบบถ้วนหน้า โดยขาดการตรวจสอบรายได้ของผู้รับประโยชน์ ทำให้รัฐบาลมีภาระทางงบประมาณสูงมาก และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากโครงสร้างสังคมสูงวัย แนวทางที่มีประสิทธิภาพมากกว่า คือ การโอนเงินแบบมุ่งเป้าไปที่คนจน (Targeting for the Poor) ผ่านระบบภาษีเชิงลบ หรือ Negative Income Tax (NIT) จะมีการโอนเงินไปยังผู้ยื่นแบบภาษีที่มีเงินได้ต่ำกว่ารายได้ขั้นต่ำที่กำหนดเอาไว้ การโอนเงินโดยตรงเพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อย ดีกว่ามาตรการอุดหนุนราคาเพื่อให้ราคาต่ำลงกว่าราคาตลาด เช่น อุดหนุนราคาพลังงาน อุดหนุนราคาบ้าน หรือ แทรกแซงราคาสินค้าเกษตรให้สูง เป็นต้น เพราะการดำเนินการพวกนี้จะไปบิดเบือนราคาและกลไกตลาด ทำให้ประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจลดลงในระยะยาว มาตรการเหล่านี้สามารถใช้ได้ในช่วงสั้น เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเท่านั้น
นายอนุสรณ์ ระบุว่า เมื่อเรามีระบบฐานข้อมูลจากการพัฒนาระบบฐานภาษีเชิงลบ ต่อไปหากต้องการช่วยเหลือคนจน มาตรการอุดหนุนราคาก็มีความจำเป็นน้อยลง สามารถใช้ฐานข้อมูลกลุ่มคนที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ แล้วโอนเงินช่วยเหลือโดยตรงได้เลย เช่น โอนเงินช่วยค่าพลังงาน โอนเงินช่วยค่าที่อยู่อาศัย โอนเงินช่วยค่าเดินทาง เป็นต้น Negative Income Tax จึงเป็นการประสานระบบภาษีเข้ากับระบบสวัสดิการ โดยไม่ไปบิดเบือนกลไกราคา ทำให้ระบบตลาดทำงานได้มีประสิทธิภาพดีกว่า
ทั้งนี้ การโอนเงินมีสองแบบ คือ 1.การโอนเงินช่วยเหลือคนจนแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Cash Transfer) เป็นการให้เสรีภาพอย่างเต็มที่ในการใช้เงินโอนไปตามสิ่งที่ตัวเองและครอบครัวจำเป็น และต้องการต่อการดำรงชีพ หรือ 2.อาจใช้รูปแบบการโอนเงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer) จะมีการกำหนดเงื่อนไขบางประการเพื่อให้ผู้รับเงินโอนปฏิบัติตาม
อย่างไรก็ดี รูปแบบการโอนเงินช่วยเหลือแบบมีเงื่อนไขนั้น หน่วยราชการจำเป็นต้องมีภาระในการตรวจสอบพฤติกรรมของบุคคลว่าเป็นไปตามเงื่อนไขหรือไม่ หากจะมีการนำ NIT มาใช้แทนสวัสดิการแนวประชานิยมทั้งหมด อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากในทางการเมือง แม้ว่า NIT จะช่วยทำให้การใช้งบประมาณเพื่อสวัสดิการสังคมมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นกลไกในการนำเอากิจกรรมและรายได้นอกระบบเข้ามาสู่ระบบภาษีอีกด้วย
“ในระยะยาวแล้ว มาตรการ NIT สามารถพัฒนาให้เชื่อมโยงกับระบบประกันสังคมได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานอิสระ แรงงานนอกระบบ มาตรา 40 โดยรัฐบาลจะโอนเงินส่วนหนึ่ง เข้าสมทบในกองทุนประกันสังคม” นายอนุสรณ์ ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ส.ค. 68)