
นายภูมิธรรม เวชยชัย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการพูดคุยกับพรรคประชาชนเมื่อวานนี้ (31 ส.ค.) ว่า ในข้อเสนอทั้งหมดของพรรคประชาชนเรารับทั้งหมด เป็นเรื่องที่ตรงกัน วันนี้ประเทศวิกฤต ถึงเวลาที่จะต้องรีเซ็ตการเมืองใหม่ เพราะฉะนั้น การเสนอให้ดำเนินการตามข้อเสนอของพรรคประชาชนเป็นเรื่องที่ดีควรจะทำ และสิ่งที่พรรคประชาชนได้เสนอถามกลับมา ประเด็นแรกคือ รัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่มีเจตนาอะไร หัวใจสำคัญ คือ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ผ่านกลไกของ สสร. ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลเห็นด้วย
ซึ่งที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยไม่ได้สนับสนุน ซึ่งตนไม่ได้ติดใจที่จะใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อประกอบใช้ในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากพรรคประชาชนติดใจเรื่องนี้ ก็สามารถถอนออกได้ ไม่มีปัญหา เพราะเรายอมรับอยู่แล้วว่าจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ส่วนเรื่อง MOU 43 และ MOU 44 นายภูมิธรรม มองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลนี้ หรือรัฐบาลใหม่ ยืนยันไม่มีอะไรติดใจหากจะดำเนินการในเรื่องนี้ และไม่มีประโยชน์อะไรแอบแฝง จึงเห็นควรแนบไปกับการทำประชามติ ซึ่งถ้าประชาชนเห็นอย่างไร รัฐบาลใหม่จะได้ดำเนินการตามนั้น วิกฤตเรื่องนี้จะได้จบลง
ส่วนประเด็นที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้ว สว. เป็นกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคดีจากพรรคใด รวมทั้งที่ดินอัลไพน์ ตนคิดว่าทำได้ทั้งนั้น เพราะว่าอยู่ในกระบวนการ ซึ่งทั้งหมดนี้ ตนไม่ได้ตอบไปยังพรรคประชาชน แต่ตอบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด
นายภูมิธรรม ยังเห็นว่า แกนนำพรรคประชาชนหลายคน พูดว่าหัวใจสำคัญของการตัดสินใจเรื่องนี้ อยู่ที่การจะดูว่าใครจะอยู่ในความควบคุมได้มากที่สุด ซึ่งตนมองว่าไม่น่าจะเป็นการควบคุม อยู่ที่ว่าสิ่งที่เขาเสนอ สามารถเป็นไปตามข้อตกลงได้หรือไม่
ซึ่งตอนนี้ หากพูดกันตามความจริงก็ไม่มีใครสามารถควบคุมใครได้ หากคิดว่าไม่ซื่อตรงแล้วจะตัดสินใจ ก็ตัดสินใจได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ การที่จะปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ในเวลาอีก 4 เดือน ก่อนจะมีการเลือกตั้ง ขอถามว่า คดีเขากระโดง จะกลับไปเป็นแบบเดิมหรือไม่ในการตีความของพรรคภูมิใจไทย เพราะขณะนี้ อยู่ในกระบวนการที่จะนำที่ของหลวงกลับมาในช่วงสิ้นเดือนนี้ เช่นเดียวกับเรื่องการฮั้ว สว. ที่กำลังเข้าสู่การเปิดประเด็นจับกุม ซึ่งขณะนี้ติดอยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตนเชื่อว่า 2 เรื่องนี้ เป็นหัวใจสำคัญ แต่ตนได้บอกไปว่าหากติดใจเรื่องนี้ ก็ไม่เป็นไร แต่ขออย่าให้มีกระบวนการแทรกแซง
“ไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ก็เคารพการตัดสินใจของพรรคประชาชน แต่เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ที่เป็นหัวใจสำคัญ ใครจะทำเต็มที่ได้มากกว่ากัน ซึ่งพรรคเพื่อไทย ยืนยันในเรื่องนี้มาตลอด สิ่งที่เคยเป็นปัญหา ในเรื่องบางมาตราที่มีความแตกต่างกัน แต่ในเรื่องการยกมือโหวตตรงกัน คือให้มีการตั้ง สสร. จึงถามว่าใครคือผู้มีบทบาทในการควบคุม สว. ฝากให้ไปคิด” นายภูมิธรรม กล่าว
พร้อมระบุว่า หากให้พรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะมีหลักประกันอะไรที่พรรคประชาชนสามารถทำให้เกิดขึ้น ในเมื่อตัวเองก็ไม่ได้เข้าไปเป็นรัฐมนตรี เพราะพรรคพรรคภูมิใจไทยสามารถทำได้ง่าย จะรอให้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนบอกว่าไม่ทัน เชื่อว่าจะดำเนินการไปก่อน เพราะอำนาจในการยุบสภา รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้มีอำนาจในการยื่นเรื่อง และสิ่งสำคัญ ขออย่าเบี่ยงประเด็นว่าใครจะได้มากได้น้อย หรือพรรคภูมิใจไทยมีน้อยกว่า 100 เสียง สามารถควบคุมได้ โดยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนพรรคเพื่อไทยยอมรับว่าเคยบาดหมางกัน แต่เรายืนยันในข้อตกลงมาตลอด การที่บอกว่าพรรคเพื่อไทยบิดพริ้ว หรือตระบัดสัตย์ 2 ครั้ง ที่มีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ล้วนเป็นคนของพรรคเพื่อไทยที่เป็นผู้เสนอชื่อทั้ง 2 ครั้ง และทุกเสียงของพรรคเพื่อไทยยกมือให้หมด แต่สิ่งที่บอกคือ สว.จะโหวตให้ แต่สุดท้ายไม่เลือก
ส่วนประเด็นสุดท้ายขอเวลา 10 เดือน ซึ่งได้ประกาศไปชัดเจนตั้งแต่แรก ว่ารอการตัดสินใจของพระประชาชนไม่ได้ และวันนี้อยากจะลืมเรื่องเก่า ๆ และอยากจะร่วมมือกัน สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ ทุกคนยอมรับว่าปล่อยประเทศให้พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนที่มี 360 เสียงเป็นฝ่ายค้านไม่ได้ ในขณะที่รัฐบาลมีเพียง 143 เสียง ไม่มีประเทศไหนมาเจรจาด้วย เพราะไม่มีความเชื่อมั่นเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้อยู่ในอำนาจของพรรคประชาชนที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ
ทั้งนี้ หากพรรคประชาชนไม่ร่วมรัฐบาล พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน หรือตัดสินใจยุบสภาหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่ต้องตัดสินใจว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือยุบสภา เราเสนอประเด็นให้พรรคประชาชนตัดสินใจ ถ้าเขาเลือกพรรคภูมิใจไทย ก็เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ ส่วนพรรคเพื่อไทยจะทำอย่างไร ก็มีกระบวนการตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ที่จะต้องหาทางออกในหลาย ๆ ทางที่เป็นไปได้ อยู่ที่ดุลยพินิจ
“ขอให้สถานการณ์ชัด ตอบให้ชัด ว่าจะสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคเพื่อไทย และมีข้อกังวลอะไรบอกมาให้ชัด และข้อกังวลนั้นจะหาทางป้องกันอย่างไร” นายภูมิธรรม ระบุ
สำหรับกระบวนการของพรรคเพื่อไทยว่าปลายทางจะไม่เป็นฝ่ายค้านหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่มีการตัดสินใจ มีแต่เพียงว่า อยากจะร่วมตั้งรัฐบาล โดยให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ แล้วจะดำเนินการตามนั้น บอกแล้วว่านโยบายมีมาก รวมถึงวาระแห่งชาติ คือต้องเปลี่ยนแปลงสภาพการเมืองที่ผิดเพี้ยนแบบนี้ให้มีการรีเซ็ตใหม่ คือ ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นรัฐบาลเดิมและยังรักษาการอยู่ คิดว่าการจับขั้วเพื่อให้ได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ควรจะใช้เวลาเร็วที่สุดเมื่อใดนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เมื่อไรก็เมื่อนั้น อยากได้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยสภาพแบบนี้ไว้ ก็เป็นรัฐบาลเป็ดง่อย ทำอะไรไม่ได้
“ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ที่พรรคประชาชนตัดสินใจ อยากให้รอบคอบ เพราะการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นครั้งสำคัญ พรรคประชาชนยังไม่เคยเลือกนายกรัฐมนตรีจากนอกพรรค ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถ้าจะประเดิมด้วยพรรคภูมิใจไทย ต้องมีหลักประกันว่าประเทศจะไม่เสียหาย” นายภูมิธรรม กล่าว
ส่วนพรรคเพื่อไทยจะสร้างหลักประกัน หรือความมั่นใจอะไรให้กับพรรคประชาชน นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นหน้าที่ที่พรรคประชาชนต้องถามตน ก็รอให้สิ่งนั้นเกิด
ส่วนการประชุมของพรรคประชาชนจะได้รับคำตอบในวันนี้หรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่แน่ใจจะมีหรือไม่มีก็ได้ไม่เป็นไร ขอให้พรรคประชาชนใช้เวลาเต็มที่ แต่เมื่อเสร็จแล้วให้แจ้งเราด้วย เพื่อให้เราดำเนินการขั้นต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 68)