
ศาลอาญา มีคำสั่งยกฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 จากกรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้พาดพิงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงเมื่อปี 2558 โดยองค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญาใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 1 ชั่วโมง
จากนั้นนายทักษิณ ได้เดินลงมาจากศาลอาญา โดยมีสีหน้ายิ้มแย้ม และกล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “ยกฟ้อง” ก่อนจะรีบเดินทางออกไปทันที
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ กล่าวว่า คดีนี้ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะเมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ ไม่ใช่หน้าที่จำเลยที่ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนว่าเป็นการตัดต่อหรือไม่ เพราะส่วนนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้พิสูจน์ให้ชัดเจนว่าไม่ได้ตัดต่อ ศาลรับฟังด้วยความระมัดระวังและเห็นว่า น่าเชื่อว่ามีการสัมภาษณ์ แต่การสัมภาษณ์ดังกล่าวจะสามารถตีความที่จะรับฟังให้เข้าใจว่าหมายถึงบุคคลตามมาตรา 112 หรือไม่นั้น ศาลใช้หลักวินิจฉัยซึ่งประกอบด้วยหลักไวยากรณ์ ซึ่งศาลมองว่าประธานเป็นบุคคลที่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นบุคคลตามมาตรา 112 แม้จะมีสรรพนามว่าเขา ซึ่งพยานนำมาตีความพิจารณาโดยใช้หลักอะไรของพยานแต่ละคนก็ตาม ศาลเห็นว่ารับฟังได้น้อยมากไม่น่าเชื่อถือ
เนื่องจากพยานมีความเห็นมีความเป็นอคติ เคยขึ้นเวทีขับไล่ ลงชื่อขับไล่ เคยเป็นฝ่ายตรงข้ามอดีตนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายกฯ หลาย ๆ คนที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่ศาลได้นำมาพิจารณาประกอบประการต่อมา ฝั่งจำเลยพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่มาให้ความเห็นเกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองบ้าง ใครให้การแบบไม่เป็นกลางบ้างหรือให้ความเห็นที่ขัดแย้ง ในชั้นสอบสวนและชั้นศาลอย่างชัดเจน
บางถ้อยคำพยานนึกเอาเองว่าจำเลยน่าจะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้แปลความว่าเหมือนหมายถึงบุคคลตามมาตรา 112 นี่เป็นตัวอย่างที่ศาลใช้หลักไวยากรณ์ในการพิจารณา
นอกจากนี้ ศาลยังใช้พจนานุกรมต่างประเทศฉบับ Oxford แปลความหมายตามคำที่ปรากฏในคำฟ้องหมายถึงอะไรบ้าง ซึ่งตนไม่สามารถลงรายละเอียดได้
นอกจากนี้ศาลเห็นว่าพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งเป็นพยานฝ่ายจำเลยก็ดีซึ่งเป็นอดีตข้าราชการมีความรู้ความเชี่ยวชาญก็ได้มาแปลความ รวมถึงการปฏิเสธของจำเลยตั้งแต่ต้น ภาระการพิสูจน์ต้องตกอยู่แต่กับฝ่ายโจทก์ ดังนั้นภาระการพิสูจน์ต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคลิปวีดีโอมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ การแปลความทำให้มีน้ำหนักตามที่ศาลจะรับฟังตามที่โจทย์พูดหรือไม่ เรื่องการสอบสวนในอดีตว่ามีความเป็นมาอย่างไร อยู่ในส่วนรายละเอียดทั้งหมด
สำหรับการอุทธรณ์คดีเป็นเรื่องของโจทย์อัยการว่า มีประเด็นอะไรจากอุทธรณ์หรือไม่ เราในฐานะทนายความและนักกฎหมายที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้จะอุทธรณ์ประเด็นใดบ้าง มักจะอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย ถ้าข้อกฎหมายเป็นเรื่องที่ยังมีเหตุที่เห็นไม่ตรงกันในบรรดานักกฎหมายก็อาจจะอุทธรณ์ได้แต่เรื่องนี้ข้อเท็จจริงค่อนข้างชัดแล้ว และศาลวินิจฉัยอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ซึ่งตนว่าประเด็นที่จะอุทธรณ์อัยการก็ต้องมองข้อกฎหมายอย่างไร แต่ศาลเรียงลำดับวินิจฉัยข้อกฎหมายและตามด้วยการวินิจฉัยข้อเท็จจริง
“ท่านบอกว่าหลังจากนี้ไปจะได้ทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติได้อย่างเต็มที่” นายวิญญัติ กล่าว
นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญกับทุกคดี โดยพิจารณาไปตามไทม์ไลน์ ซึ่งในวันที่ 9 ก.ย.68 นายทักษิณ จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาที่ศาลฎีกาฯ แน่นอน และหลังจากนี้ตนจะยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
*ย้อนไทม์ไลน์คดี ม.112
ปี 2558
– 20 พ.ค.58 ทักษิณให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้ Chosun Ilbo
– 21 พ.ค. 58 ฝ่ายกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษนายทักษิณ
– มีการตั้งข้อหาตาม มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ (เพราะเผยแพร่คำสัมภาษณ์ผ่านสื่อออนไลน์)
ปี 2559
– 16 ก.พ.59 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ส่งสำนวนคดีนายทักษิณให้อัยการ
– 19 ก.ย.59 สำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องนายทักษิณ ในความผิด ม.112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นำข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ แต่นายทักษิณหลบหนี
ปี 2566
– 22 ส.ค.66 นายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทย หลังลี้ภัยการเมืองกว่า 15 ปี ทำให้คดีเก่า ๆ รวมถึงคดี ม.112 กลับมาเดินหน้าตามกระบวนการ
ปี 2567 – 2568
– อัยการมีคำสั่งฟ้องคดี ม.112 ต่อศาลอาญาอย่างเป็นทางการ จากนั้น ศาลประทับรับฟ้อง
– ก.ค.68 ศาลนัดสืบพยานฝ่ายจำเลย 14 ปาก และฝ่ายโจทก์ 10 ปาก โดยฝ่ายโจทก์ยืนยันว่า คำสัมภาษณ์ของทักษิณ เข้าข่ายดูหมิ่นและสร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถาบัน ขณะที่ฝ่ายจำเลยชี้แจงว่า ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น เพียงวิจารณ์เชิงการเมือง
– 22 ส.ค.68 ศาลอาญา พิพากษายกฟ้อง ทั้งคดี ม.112 และข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ส.ค. 68)