
เกือบ 2 เดือนเต็ม หลังจากน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เมื่อวันที่ 1 ก.ค.68 จากปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา
จากความไม่ชัดเจนของสถานะ “นายกฯ อิ๊งค์” รวมไปถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทย ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล แม้จะมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ขึ้นมารักษาราชการแทน แต่ทำให้เกิดภาวะ “เกียร์ว่าง” เพื่อรอความชัดเจนว่า ทิศทางของรัฐบาลจะเป็นอย่างไรต่อไป
ท่ามกลางของความไม่แนอนทางการเมืองนี้ จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ “นายกฯ อิ๊งค์” ต้องหยุดนั่งเป็นหัวโต๊ะ เพื่อประชุมขับเคลื่อนงานสำคัญ ๆ เรียกได้ว่า ไม่มีการเดินหน้าโครงการสำคัญ ๆ ได้เลย นอกเหนือจากต้องรับมือกับสถานการณ์ร้อน ทั้งเหตุปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา นโยบายภาษี “ทรัมป์” ทั้ง 2 เหตุการณ์ นายกฯ แพทองธาร ไม่สามารถจะสั่งการหรือตัดสินใจได้เลย เหตุเพราะศาลสั่งฯ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับงานด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการปรับครม.ไปล่าสุด ซึ่งมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีในหลายกระทรวง แต่กลับไม่มีชิ้นงานใด ๆ หรือ การเดินหน้าโครงการที่สำคัญเลย ขณะที่โครงการเรือธงอย่าง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ที่ถูกแปลงงบกลายเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจแทน ด้วยเหตุผลที่อ้างว่า ต้องนำไปช่วยผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก “ภาษีทรัมป์” หรือแม้แต่ “โครงการเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ คอมเพล็กซ์” ที่รัฐบาลถอนจากการพิจารณาที่ประชุมสภาฯ ก่อน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้เวลาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ร่วมพิจารณาด้วย แต่เหตุผลลึก ๆ อาจเป็นเพราะรัฐบาลไม่มั่นใจเสียงที่มีอยู่ในมือ เสี่ยงที่จะถูกคว่ำร่างกฏหมายได้
เรื่องนี้ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและก๊ฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมายอมรับว่า ขณะนี้ข้าราชการก็เกียร์ว่างอยู่ ทุกคนต่างรอวันที่ 29 ส.ค.อย่างเดียวว่าจะเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้ ทำงานก็ลำบากอยู่แล้ว
แต่ที่เห็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ชัดเจน คือ การที่พรรคเพื่อไทยได้ทยอยแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ที่มีการจัดทัพระดับอธิบดีหลายตำแหน่ง และยังมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงอีกหลายกระทรวง จนถูกตั้งคำถามว่า เป็นความตั้งใจล้างบางข้าราชการ “สายสีน้ำเงิน” หรือไม่
นักวิชาการ แนะ “ลาออก” แม้ไม่มีนายกฯ ประเทศเดินหน้าได้
นักวิชาการการเมือง อย่างนายสติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ปัญหาของการเมืองไทยตอนนี้ไม่ใช่เรื่องเกียร์ว่าง แต่เป็นเรื่องของอนาคตผู้นำของพรรค ทั้งผู้นำทางการ และผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่มีความสำคัญต่ออนาคตทางการเมือง ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวล
นายสติธร ระบุว่า แม้ไม่มีนายกฯ การทำงานยังสามารถขับเคลื่อนงานไปได้ เพราะกลไกบริหารถูกออกแบบให้มีทางออกเสมอ ปัญหาเฉพาะหน้าสามารถแก้ไขงานที่เป็นรูทีนเดินหน้าได้ และศักยภาพประเทศมีพื้นฐานรองรับในระดับที่ดี ถึงขั้นว่าใครเข้ามาบริหาร ถ้าไม่คิดมากก็ไปได้ด้วยตัวของมันเอง
แต่สถกานการณ์ขณะนี้ เป็นเรื่องการอำนาจมากกว่า เพราะนักการเมืองกังวลกับอนาคตทางการเมือง พ่วงกับอนาคตของนายกฯ ว่าจะไปในทิศทางไหน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังได้ไฟเขียวอยู่หรือไม่ พอกังวลกับอนาคตทางการเมือง ก็ส่งผลกระทบต่อเรื่องอื่น ๆ เช่น ความที่อยากผลักดันเชิงนโยบายก็เบาลง ทำให้รู้สึกว่าไม่เห็นทิศทาง
“จริง ๆ ทำให้ชัดเจนได้ตั้งแต่วันนี้อยู่แล้ว เช่น ประเทศเราไม่เคยต้องมีนายกฯ ตัวจริงยังบริหารได้เลย แล้วคุณห่วงอะไร คุณห่วงตัวเองไง คุณวางตัวเองให้มีความสำคัญมาก ถ้าสถานะฉันไม่แน่นอน ประเทศจะลำบากแต่จริง ๆ ก็ไม่หรอก คือ คุณทำให้ชัดเจนได้ เช่น ลาออกก็ลาออกซะ หรือต่อให้สู้ถึงขั้นศาลวินิจฉัยตัดสิน แล้วไม่ว่าผลจะบวกหรือลบ มันมีทางไปต่อตามกระบวนการ แต่วันนี้วาดให้เห็นว่า ถ้าเป็นแบบนี้จะเป็นสุญญากาศ ตัวเองสำคัญเสียขนาดขาดไม่ได้ แต่ในความเป็นจริง ขาดได้ ไม่มีคุณตั้งนาน ประเทศก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” นายสติธร กล่าว
ซึ่งอีกไม่นานนี้ คงได้รู้กันแล้วว่า “น.ส.แพทองธาร” จะยังคงได้ทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ เพราะศาลได้นัดอ่านคำวินิจฉัย ปมคลิปเสียง ในวันศุกร์ ที่ 29 ส.ค.นี้ เมื่อถึงวันนั้น คงพอจะเห็นทิศทางแล้วว่า นโยบายสำคัญ ยังได้เดินหน้าต่อจากนายกฯ คนเดิม หรือ หากศาลมีคำตัดสินให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลง รัฐบาลจะต้องเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนตัวนายกฯ คนใหม่กลางคัน ก็จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง ไร้ภาวะผู้นำ เนื่องจากจะต้องมีการเจรจาระหว่างพรรคการเมืองเพื่อตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งหากตกลงกันไม่ได้ อาจนำไปสู่การยุบสภาในที่สุด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เชื่อว่าสุญญากาศทางการเมืองคงลากยาวออกไปอีกอย่างแน่นอน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 ส.ค. 68)