
มูฮัมหมัด ยูนุส ประธานที่ปรึกษาและผู้นำรัฐบาลรักษาการของบังกลาเทศ กล่าวเตือนวันนี้ (25 ส.ค.) ว่า บังกลาเทศได้ใช้ทรัพยากรจนถึงขีดสุดแล้ว และไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อดูแลผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาจำนวน 1.3 ล้านคนได้อีกต่อไป พร้อมทั้งเรียกร้องอย่างหนักแน่นให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันหาทางออกที่ยั่งยืนให้กับวิกฤตการณ์ครั้งนี้
ถ้อยแถลงของยูนุส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ มีขึ้นในวาระครบรอบ 8 ปีของเหตุการณ์ที่ชาวโรฮีนจามากกว่า 700,000 คน อพยพหนีตายข้ามพรมแดนจากเมียนมาเข้ามายังบังกลาเทศภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งส่งผลให้พื้นที่รอบเมืองค็อกซ์บาซาร์กลายเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
“ท่ามกลางความท้าทายมากมายที่ประเทศกำลังเผชิญ เราไม่เห็นหนทางใด ๆ ที่จะระดมทรัพยากรจากแหล่งภายในประเทศมาเพิ่มเติมได้อีก” ยูนุสกล่าว และชี้ว่าการให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยได้สร้างภาระอันหนักอึ้งต่อประเทศในทุกมิติ ตั้งแต่เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการบริหารปกครอง
“ประเด็นชาวโรฮีนจาและการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนจะต้องคงอยู่ในวาระสำคัญของโลกต่อไป เพราะพวกเขายังต้องการการสนับสนุนจากเราจนกว่าจะได้กลับบ้าน” ยูนุสกล่าว พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกันจัดทำแผนงานที่เป็นรูปธรรมเพื่อส่งผู้ลี้ภัยกลับสู่มาตุภูมิ
ในวันเดียวกัน ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาหลายหมื่นคนได้ออกมารวมตัวเดินขบวนในค่ายต่าง ๆ พร้อมชูป้ายข้อความ อาทิ “ไม่เอาอีกแล้วชีวิตผู้ลี้ภัย” “หยุดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และ “ส่งกลับบ้านคือทางออกสุดท้าย”
ปัจจุบัน ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก อาศัยอยู่อย่างแออัดในที่พักชั่วคราวที่สร้างจากไม้ไผ่ ท่ามกลางความช่วยเหลือจากนานาชาติที่ลดน้อยลง โรงเรียนถูกปิด และความหวังที่จะได้กลับบ้านเกิดก็ดูเลือนรางเต็มที ซ้ำร้ายในช่วงปีที่ผ่านมา สถานการณ์การสู้รบที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างกองทัพรัฐบาลทหารเมียนมาและกองทัพอาระกันในรัฐยะไข่ ยังส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยทะลักเข้ามาเพิ่มอีกราว 150,000 คน
ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่หลบหนีการปราบปรามอย่างรุนแรงของกองทัพเมียนมาเมื่อปี 2560 ซึ่งทีมสืบสวนของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าเป็น “ตัวอย่างตามตำราของการล้างเผ่าพันธุ์” อย่างไรก็ตาม กองทัพเมียนมาปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเป็นปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตอบโต้กลุ่มติดอาวุธมุสลิม
ก่อนหน้านี้ ความพยายามในการส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศในปี 2561 และ 2562 ประสบความล้มเหลว เนื่องจากผู้ลี้ภัยปฏิเสธที่จะเดินทางกลับเพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยและอาจถูกดำเนินคดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ส.ค. 68)