แบงก์จีนคุมเข้มลูกค้าใช้บัตรเครดิตลงทุนในตลาดหุ้น หวั่นกระทบเสถียรภาพการเงิน

ธนาคารพาณิชย์ในจีนกำลังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตเพื่อลงทุนในหุ้น เนื่องจากมีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากได้เข้ามาลงทุนในตลาดเพื่อหวังได้ประโยชน์ภาวะการซื้อขายที่คึกคักในตลาดหุ้นจีนซึ่งมีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

ธนาคารหลายแห่งของจีน เช่น ไชน่า หมินเฉิง (China Minsheng) และหัวเซี่ย แบงก์ (Huaxia Bank) ได้ออกคำเตือนในเดือนก.ค.ที่ผ่านมาว่า วงเงินจากบัตรเครดิตและเงินสดที่เบิกล่วงหน้าจากบัตรเครดิตไม่สามารถนำไปใช้ในการลงทุนในด้านต่าง ๆ ถูกสั่งห้ามไว้ และหากมีการละเมิด ก็อาจนำไปสู่การยกเลิกธุรกรรมและจำกัดการใช้งานบัตรเครดิต

การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับมาตรการล่าสุดของบริษัทหลักทรัพย์และกองทุนบางแห่งที่เริ่มลดการปล่อยสินเชื่อและจำกัดการซื้อหุ้น โดยในเดือนส.ค.เพียงเดือนเดียว มูลค่าตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสัญญาณต่าง ๆ ตั้งแต่การซื้อขายด้วยมาร์จิ้นไปจนถึงปริมาณการซื้อขาย ล้วนบ่งชี้ถึงภาวะการซื้อขายที่คึกคักของตลาดหุ้น

หนังสือพิมพ์ซิเคียวริตีส์ เดลี ของทางการจีนระบุในบทบรรณาธิการในวันนี้ (28 ส.ค.) ว่า เงินจากบัตรเครดิตถือเป็นหนี้ระยะสั้นที่มีต้นทุนสูง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการก่อหนี้สินหากนำไปใช้ลงทุนในหุ้น บทความดังกล่าวยังชี้ให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างรอบการชำระหนี้บัตรเครดิตที่สั้นประมาณหนึ่งเดือน กับการลงทุนในตลาดหุ้นซึ่งเป็นลักษณะระยะยาว

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ดังกล่าวยังระบุว่า การซื้อขายเก็งกำไรที่ใช้เงินจากบัตรเครดิตจะยิ่งทำให้ราคาหุ้นมีความผันผวนอย่างไม่สมเหตุสมผล ซึ่งอาจทำให้ผู้ถือบัตรเครดิตเผชิญกับการขาดทุนและไม่สามารถชำระหนี้ได้ในที่สุด ซึ่งจะสร้างความปั่นป่วนให้กับระบบตลาดและเป็นความเสี่ยงที่สามารถลุกลามจากตลาดหุ้นไปยังระบบธนาคารได้ และท้ายที่สุดจะกลายเป็นปัจจัยคุกคามเสถียรภาพทางการเงินโดยรวม

ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามาตรการล่าสุดเหล่านี้เป็นผลมาจากคำแนะนำของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์จีนหรือไม่ แต่ที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐบาลจีนมีประวัติในการเข้าแทรกแซงเมื่อตลาดส่งสัญญาณร้อนแรงหรือซบเซาเกินไป โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดหุ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ส.ค. 68)