
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ประจำเดือน ส.ค.68 สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาค ในระยะ 6 เดือนข้างหน้าที่ยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะในภาคเหนือ และภาคตะวันตก เป็นผลจากแนวโน้มเศรษฐกิจในภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ควรติดตามประเด็นความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และการเมืองภายในประเทศเป็นสำคัญ
ภาคเหนือ
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 74.2 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ โดยเฉพาะในภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะในช่วงต้นปีที่ยังอยู่ในช่วงฤดูการท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการแปรรูป ประกอบกับความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมที่มีต่อเนื่อง
ภาคตะวันตก
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก อยู่ที่ระดับ 70.7 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ปรับตัวได้ดี โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคบริการ และภาคอุตสาหกรรม จากนโยบายกระตุ้นการบริโภค และสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูการท่องเที่ยว
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 68.3 โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคเกษตร และภาคบริการเป็นสำคัญ เนื่องจากจะอยู่ในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ และอุปสงค์สินค้าเกษตรยังมีต่อเนื่อง ประกอบกับคาดว่า จะมีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 ในช่วงปลายปี 2568 และหลายพื้นที่ยังมีการจัดกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง
ภาคใต้
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 67.3 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากความเชื่อมั่นในภาคบริการ และการลงทุน เนื่องจากจะยังอยู่ในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ประกอบกับมีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมภาคบริการและเศรษฐกิจของภาครัฐ
ภาคตะวันออก
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 66.1 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ โดยเฉพาะในภาคบริการและการจ้างงาน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งเสริมการท่องเที่ยว จากทั้งภาครัฐและเอกชนในช่วงหนาว ซึ่งเป็นฤดูการท่องเที่ยว และคาดว่าจะส่งผลให้การจ้างงานโดยรวม มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะช่วยผ่อนคลายภาระหนี้ของครัวเรือนลง
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก การแข่งขันด้านการส่งออกกับประเทศต้นทุนต่ำ และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังส่งสัญญาณบวกต่อเนื่องที่ระดับ 67.6
ภาคกลาง
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 65.0 โดยมีแรงสนับสนุนจากภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรม จากความต้องการสินค้าเกษตร และราคาสินค้าเกษตรที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัว
กทม. และปริมณฑล
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 61.1 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มความเชื่อมั่นในการลงทุน และภาคอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการบางส่วนยังมีความกังวลต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางท่องเที่ยว และอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติได้ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์การเมืองในประเทศเป็นสำคัญ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ส.ค. 68)