KTC จับมือพันธมิตรหนุนติดตั้งโซลาร์รูฟ ลดคาร์บอนสู่เป้าหมาย Net Zero

บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน และเครือข่ายพันธมัตร จัดเสวนา KTC FIT Talk ครั้งที่ 19 ในหัวข้อ “Power from Home, Power for the Future” เพื่อผลักดันการใช้พลังงานสะอาดในครัวเรือน สร้างความตระหนักรู้ และแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการใช้พลังงานสะอาด และการบริหารทรัพยากรในครัวเรือนอย่างคุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ลดค่าใช้จ่าย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (1,000 ตัน CO2 เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 70,000 ต้น) สร้างพื้นที่สีเขียว และช่วยดูดซับคาร์บอนในระยะยาว

น.ส.จารุวรรณ พิพัฒน์พุทธพันธ์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มติดตามและประเมินผล กองพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 50% ภายในปี 2037 นโยบายด้านพลังงานของรัฐ จึงเดินคู่ไปกับเป้าหมายสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ สร้างประโยชน์ร่วมกันทั้งประเทศตั้งแต่ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่น

โดยภาครัฐพร้อมเดินหน้าสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์รูฟ (Solar Roof) ในครัวเรือนอย่างครบมิติ ทั้งการยกระดับมาตรฐานการติดตั้งและความปลอดภัย การอำนวยความสะดวกด้านกระบวนการอนุญาต การผลักดันเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม โดยเฉพาะมาตรการลดหย่อนภาษีส่วนบุคคลเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายผู้บริโภค ไปจนถึงการสร้างองค์ความรู้ให้ช่าง และผู้บริโภค

“การมีส่วนร่วมของภาคครัวเรือนมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะทุกบ้าน คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาความยั่งยืนวันนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้ประเทศไทยมีพลังงานที่มั่นคง ต้นทุนที่แข่งขันได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกครัวเรือน” น.ส.จารุวรรณ กล่าว

เมื่อปี 2567 มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศอยู่ที่ 2.1 แสนล้านหน่วย และคาดว่าปีนี้ จะมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศเพิ่มเป็น 2.2 แสนล้านหน่วย หรือขยายตัวเพิ่มขึ้น 5.6% รัฐบาลจึงเร่งส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทน โดยใช้มาตรการทางภาษีในการให้ส่วนลด เพื่อจูงใจให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์รูฟมากขึ้น โดยมีระยะเวลาโครงการ 3 ปี และตั้งเป้าหมายไว้ 9 หมื่นหลังคาเรือน จากทั้งหมด 21 ล้านหลังคาเรือน คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะมีผลภายในสิ้นปีนี้

ส่วนกรณีที่มีแนวคิดในการขยับเป้าหมาย Carbon Neutrality ให้เร็วขึ้นกว่าปี 2050 นั้น ตนเห็นด้วย เนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมีความรุนแรงมากขึ้น แต่ต้องรอผู้เกี่ยวข้องหารือกันก่อน เพราะการดำเนินการในเรื่องนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

น.ส.อำนวยพร ประกอบนพเก้า กรรมการผู้จัดการ GULF1 และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ GULF ในเครือ บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) กล่าวว่า ความยั่งยืน คือแกนยุทธศาสตร์ที่เราให้ความสำคัญ ทุกเมกะวัตต์ที่เพิ่มขึ้นจากพลังงานสะอาดเป็นประโยชน์โดยตรงต่อภาคครัวเรือน และธุรกิจที่ได้ใช้ไฟอย่างคุ้มค่า และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดย GULF มุ่งเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ได้มากกว่า 40% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมภายในปี 2578 และมุ่งสู่เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593

ทาง GULF1 และแบรนด์โซลาร์บ้านครบวงจร “วันอาทิตย์” จึงมีแผนงานที่ชัดเจนในการทำให้พลังงานสะอาดอย่างโซลาร์รูฟท็อปเป็นเรื่องที่ตัดสินใจง่าย สำหรับทุกครัวเรือน มีจุดเด่นเรื่องความปลอดภัย และงานติดตั้งที่ได้มาตรฐาน ผู้ใช้งานสามารถดูข้อมูลการประหยัดไฟได้แบบเรียลไทม์

แบรนด์ “วันอาทิตย์” ไม่ได้เป็นแค่โซลาร์บ้าน แต่เป็นโซลูชั่นที่จะช่วยเติมความสุขให้กับทุกคนในครอบครัวที่ได้ทำกิจกรรรมร่วมกันได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลกับค่าไฟ เพื่อให้ทุกวันที่อยู่บ้านเหมือน “วันอาทิตย์” หรือ “วันครอบครัว” นั่นเอง

นอกจากนี้ GULF1 ได้ร่วมมือกับพันธมิตรที่หลากหลาย เช่น AIS เพื่อขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่าน AIS Shop ทั่วประเทศ รวมไปถึงเคทีซี พันธมิตรด้านการเงินที่แข็งแกร่ง นำเสนอทางเลือกในการชำระเงินที่หลากหลาย ทำให้การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปมีความคุ้มค่าในระยะยาว สะท้อนความมุ่งมั่นของเราในการส่งมอบโซลาร์รูฟท็อปที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และคุ้มค่าสำหรับทุกคน

โดยนอกเหนือจากเรื่องพลังงานสะอาดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยให้ความสำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องจักรที่ล้าสมัย เนื่องจากกินกระแสไฟมากกว่าปกติ ซึ่งบางครั้งอาจถึงเวลาที่ต้องมีการปรับเปลี่ยน

ในส่วนของบริษัทที่เป็นผู้ผลิตกระแสไฟฟ้า ได้มีการศึกษาพลังงานในรูปแบบอื่น ๆ ที่มีความเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ทั้งการใช้ก็ซไฮโดรเจน และพลังงานนิวเคลียร์ แต่ไม่ย้อนไปใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินที่สร้างมลภาวะ ขณะที่ก๊าซไฮโดรเจนมีราคาแพง ส่วนนิวเคลียร์มีปัญหาเรื่องการยอมรับของประชาชน

นายเกริก ยิ้มพรพิพัฒน์ผล Smart Residential Director บริษัท เอสซีจี ลีฟวิง แอนด์ เฮาส์ซิง โซลูชัน จำกัด กล่าวว่า SCG มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 และยึดหลัก ESG เป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจ เราไม่เพียงพัฒนาโซลูชันเพื่อภาคอุตสาหกรรม แต่ยังมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนให้กับทุกครอบครัวในระดับบ้านพักอาศัย

ความยั่งยืนวันนี้ ไม่ใช่เรื่องสวยหรูอีกต่อไป แต่คือโครงสร้างต้นทุนใหม่ของบ้าน วัสดุ และระบบที่ประหยัดพลังงาน ช่วยลดค่าไฟลงได้จริง พร้อมยกระดับคุณภาพอากาศและ ความสบายในระยะยาว เราจึงพัฒนาวัสดุที่ลดการถ่ายเทความร้อน ควบคู่กับระบบโซลาร์ และการจัดการพลังงาน เพื่อให้เจ้าของบ้านเห็นผลการประหยัดได้ตั้งแต่เดือนแรกที่ใช้งาน

“การติดตั้งโซลาร์รูฟ จะต้องมีการสำรวจข้อมูลล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย เพราะโครงสร้างที่ใช้ต้องอยู่ไปอีก 25-30 ปี ขณะที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กระแสลมรุนแรงมากขึ้น” นายเกริก กล่าว

ONNEX by SCG เป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ทั้งด้านพลังงาน และสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น SCG Solar Roof ที่ช่วยผลิตไฟฟ้าใช้เอง ONNEX Active Air Flow ที่ระบายความร้อน และทำให้บ้านเย็นสบายขึ้น และ ONNEX Active Air Quality ที่เติมอากาศสะอาด กรองฝุ่นและมลพิษเพื่อสุขภาวะของผู้อยู่อาศัย และเพื่อให้เจ้าของบ้านสะดวกที่สุด

โดยมี Smart Living plus application แอปเดียวที่รวมเอาทุกอุปกรณ์ของ Onnex เข้าด้วยกัน เหมือนมีผู้ช่วยคอยดูแลบ้าน ทำให้การอยู่อาศัยทั้งสบายขึ้น ฉลาดขึ้น และมั่นใจได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ คือแนวทางที่ SCG เชื่อมั่นว่า บ้าน Smart ไม่ได้หมายถึงเพียงการมีอุปกรณ์ทันสมัย แต่คือการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ อยู่สบายขึ้น ฉลาดขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ช่วยลดคาร์บอน สร้างความยั่งยืน และก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero 2050 ร่วมกัน

“เรื่องสินเชื่อ จะมีส่วนสำคัญที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุน เพราะการติดตั้งโซลาร์รูฟไม่มีหลักประกัน ส่วนคนที่จะดำเนินการ ขอให้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยด้วย” นายเกริก กล่าว

นายรักพงศ์ อรุณวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มนักลงทุนสัมพันธ์ กลยุทธ์และความยั่งยืนองค์กร บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) กล่าวว่า ความยั่งยืนไม่ใช่กิจกรรมเสริม แต่เป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจสินค้าและบริการเรื่องบ้านแบบครบวงจร โดยพฤติกรรมผู้บริโภคไทย กำลังเปลี่ยนจากรับรู้สู่เลือกซื้ออย่างมีจิตสำนึกมากขึ้น ไม่เพียงแต่ให้ความสนใจในเรื่องราคาหรือคุณภาพสินค้าเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงคุณค่าและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

แม้ราคาและความคุ้มค่า ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ลูกค้าจำนวนมาก พร้อมสนับสนุนแบรนด์ที่มีนโยบายด้าน Circular Economy และ ESG ที่ชัดเจน โฮมโปรวางเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่จะบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 และขับเคลื่อน Lifetime Eco-System เพื่อส่งมอบคุณค่าแห่งการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนตลอดช่วงอายุของการใช้งานสินค้าและบริการ เพื่อสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า หรือ Better Living ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกซื้อสินค้า ออกแบบ ติดตั้ง ซ่อมแซม รีโนเวท ไปจนถึงบริการหลังการขาย พร้อมยกระดับความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานร่วมกับพันธมิตร เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาด จัดการขยะอย่างถูกวิธี และลดการปล่อยก๊าซกระจกอย่างเป็นรูปธรรม

ที่ผ่านมา โฮมโปรได้เข้าไปช่วยดูแลจัดการสินค้าเก่าที่ไม่ใช้แล้วจากบ้านลูกค้าโฮมโปร โดยช่วยนำไปจัดการให้อย่างถูกวิธี ภายใต้โครงการแลกเก่าเพื่อโลกใหม่ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โฮมโปรทำหน้าที่เป็นสะพาน เชื่อมผู้ผลิตที่ต้องการพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่กับผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนของเก่าอย่างคุ้มค่า และจัดการอย่างถูกวิธี

ปัจจุบัน โฮมโปรรับเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่ไม่ใช้แล้วกลับมากว่า 300,000 ชิ้น ซึ่งจะนำไปจัดการให้อย่างถูกวิธี โดยบริษัทที่มีใบรับรองตามกฏหมายเป็นผู้ดำเนินการ และนำกลับมาผลิตเป็นสินค้าใหม่ ที่เรียกว่า “สินค้ารักษ์โลก” (Circular Products) นอกจากนี้ ในปี 2568 โฮมโปรเดินหน้าขยายไลน์สินค้ารักษ์โลก ร่วมกับพันธมิตรหลายหลายแบรนด์ชั้นนำ เพิ่มรายการสินค้าที่สามารถนำมาแลกได้มากกว่าเดิมถึง 8,000 รายการ เพื่อผลักดันให้ Circular Economy เป็นเรื่องที่ทำได้จริงในทุกบ้าน

โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มีลูกค้านำของเก่ามาแลกมากกว่า 300,000 ชิ้น คิดเป็นสัดส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้ามากกว่า 80% พร้อมตั้งเป้าให้สินค้ารักษ์โลกมีสัดส่วน 20% ของยอดขายภายในปี 2030

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต หมวดบ้านและเฟอร์นิเจอร์ บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเผยว่า เคทีซี ขับเคลื่อนกลยุทธ์และการดำเนินงาน เพื่อตอบสนองความต้องการและรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนแปลง ควบคู่การบูรณาการแนวคิดเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกกระบวนการดำเนินงาน โดยยึดหลักการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบเชิงลบ และสร้างคุณค่าในระยะยาว เพื่อส่งเสริมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมในทุกมิติ

โดยมิติ Environment (E) เคทีซีเข้าร่วมโครงการ “Care the Bear” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อเนื่อง และสามารถลดการปล่อยก๊าซ CO2ได้มากกว่า 110,000 กิโลกรัม ในปี 2022 เพียงปีเดียว เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 12,000 ต้น ผ่านการลดการใช้กระดาษ และพลาสติกในการประชุมผู้ถือหุ้น โดยปัจจุบันได้มีปรับเปลี่ยนการประชุมเป็นรูปแบบออนไลน์แทน ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าดิจิทัลโซลูชัน อย่าง E-Application, E-Statement, E-Coupon และ E-Payment ที่ช่วยลดการใช้ทรัพยากร พร้อมอำนวยความสะดวกแก่สมาชิก

ด้าน Social (S) เคทีซีผลักดันความหลากหลาย และการมีส่วนร่วม (DEI) ผ่านเวที “Beyond Rainbow” ที่เปิดพื้นที่ให้ธุรกิจและแรงงานไทย ตระหนักถึงบทบาทของ LGBTQ+ และสร้างความเท่าเทียมเชิงนโยบายและปฏิบัติ

ด้าน Governance (G) บริษัทได้ยกระดับโครงสร้างด้วยการจัดตั้ง Audit, Corporate Governance, and Sustainability Committee เพื่อดูแลการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส รับผิดชอบ และยังได้รับการประเมิน ESG Rating ระดับ AAA จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต่อเนื่อง รวมถึงเป็นสมาชิก ESG100 มากว่า 9 ปี ยืนยันถึงความจริงจังด้านธรรมาภิบาล

KTC มุ่งสร้างระบบนิเวศพลังงานสะอาดสำหรับครัวเรือน โดยร่วมกับพันธมิตรภาคธุรกิจ เปิดแคมเปญ “เซฟคุณ เซฟโลก” เพื่อช่วยสมาชิกเข้าถึง และรับความรู้ความเข้าใจในการเลือกการติดตั้งโซลาร์รูฟได้ง่ายขึ้นอย่างเหมาะสม พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านการเงิน ด้วยทางเลือกผ่อนชำระ 0% เครดิตเงินคืน และคูปองส่วนลด นอกจากนี้ ยังสนับสนุนสิทธิพิเศษสำหรับสินค้าวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการประหยัดพลังงาน เพื่อให้ครัวเรือนสามารถร่วมพัฒนาความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสังคม และโลกของเราในระยะยาว

ทั้งนี้ ข้อมูลการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซี ในหมวดบ้านและเฟอร์นิเจอร์ ครอบคลุมโซลาร์รูฟ ภาพรวมใน 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.68) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น 3% โดยคาดการณ์จนถึงสิ้นปีนี้ น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 6%

“เป้าหมายของเรา ไม่ใช่เพียงการช่วยให้สมาชิกประหยัดค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่คือการสร้างคุณค่าเชิงบวกที่ยั่งยืน บ้านที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัว และยังเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสังคมสู่คาร์บอนต่ำ” นายณัฐสิทธิ์ ระบุ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ส.ค. 68)