
เจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดีย (Nvidia) ออกมาสยบความกังวลของนักลงทุนที่หวั่นไหวจากสัญญาณการเติบโตที่ชะลอตัว โดยยืนยันว่ากระแสการลงทุนในชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด พร้อมคาดการณ์ว่า ตลาดนี้จะขยายตัวมีมูลค่ามหาศาลถึงระดับหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 5 ปีข้างหน้า
ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ อินวิเดียได้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 3/2569 ซึ่งแม้จะสอดคล้องกับการประเมินของนักวิเคราะห์ แต่ก็ต่ำกว่าความคาดหวังที่สูงลิ่วของตลาดซึ่งเคยเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาหุ้นของบริษัทพุ่งขึ้นถึงหนึ่งในสามในปีนี้
เจนเซน หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัท ได้ให้ภาพอนาคตที่สดใส สวนทางกับสัญญาณความอ่อนแอของหุ้นกลุ่ม AI และความเห็นของผู้นำในอุตสาหกรรมบางรายที่มองว่านักลงทุนกำลังตื่นเต้นกับกระแสนี้เกินเหตุ
“การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว และการแข่งขันด้าน AI ก็ได้เปิดฉากขึ้น เรามองเห็นเม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ราว 3 ถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในสิ้นทศวรรษนี้” เจนเซน หวงกล่าว
ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาหุ้นของอินวิเดียคือความคาดหวังในความต้องการชิปจากกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี กลุ่มผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดมหึมา และตลาดประเทศจีน
แมตต์ ออร์ตัน หัวหน้าฝ่ายโซลูชันที่ปรึกษาของ Raymond James Investment Management ให้ความเห็นว่า “กลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่คือผู้ที่ทุ่มงบลงทุนมหาศาลซึ่ง อินวิเดียได้รับประโยชน์ไปเต็ม ๆ และเห็นได้ชัดว่า อินวิเดียยังคงเติบโตและขายสินค้าได้ เรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำว่ากระแสการลงทุนใน AI ยังคงแข็งแกร่งและไปต่อได้อีกยาวไกล”
อย่างไรก็ตาม แม้หุ้นอินวิเดียจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดโดยรวม แต่หุ้นในกลุ่ม AI โดยทั่วไปเริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว โดยเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แซม อัลท์แมน ซีอีโอของโอเพนเอไอ (OpenAI) ได้สร้างความกังวลในตลาดด้วยการกล่าวว่า นักลงทุนอาจจะ “ตื่นเต้นเกินเหตุ” กับเทคโนโลยี AI
แต่เจนเซน หวง กลับมองต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง “ยิ่งคุณซื้อมากเท่าไร คุณก็ยิ่งเติบโตมากเท่านั้น” เจนเซน หวง กล่าว พร้อมชี้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอินวิเดียช่วยให้ลูกค้าสามารถประมวลผลข้อมูลได้มหาศาลขึ้นโดยใช้พลังงานน้อยลง “กระแสตอนนี้คือของขายหมดเกลี้ยง”
เพื่อยืนยันคำพูดดังกล่าว อินวิเดียเปิดเผยว่า ในไตรมาสล่าสุด มีลูกค้านอกประเทศจีนสั่งซื้อชิปรุ่น H20 ซึ่งเป็นรุ่นลดประสิทธิภาพสำหรับตลาดจีน เป็นมูลค่าสูงถึง 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เจนเซน หวง ยังชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโต โดยยกตัวอย่างว่า จากงบลงทุนสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งหมดที่คาดว่าจะสูงถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ในปีนี้จากลูกค้ารายใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft) และอะเมซอน (Amazon) หากมีการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์หนึ่งแห่งมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ อินวิเดียจะสามารถสร้างรายได้จากโครงการนั้นได้ถึงประมาณ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ อินวิเดียคาดการณ์ว่ายอดขายในไตรมาส 3/69 จะอยู่ที่ประมาณ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 5.314 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ถึงกระนั้น บริษัทและเจนเซน หวง ยังคงมองไม่เห็นเหตุผลที่การเติบโตของกำไรจากชิป AI จะชะลอตัวลง โดยล่าสุดกำไรสุทธิในไตรมาส 2/69 ของอินวิเดียได้แซงหน้ากำไรของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิ้ล (Apple) ไปแล้ว
ปัจจุบัน ชิประดับไฮเอนด์รุ่น Blackwell ของบริษัทถูกจับจองล่วงหน้าไปจนถึงปี 2569 แล้ว ขณะที่ชิปรุ่นก่อนหน้าอย่าง Hopper ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสูง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 ส.ค. 68)