
นายจตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตยปราศรัยบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (31 ส.ค.) โดยกล่าวถึงการตัดสินใจของพรรคประชาชนในการโหวตนายกรัฐมนตรีว่า หากพรรคประชาชนตัดสินใจเลือกฝ่ายพรรคเพื่อไทย ก็จะต้องเจอกับการชุมนุม แต่หากเลือกพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่คณะรวมพลังแผ่นดินได้ประกาศไว้ โดยมองว่า หากพรรคประชาชนไม่โหวตเลือกใครเลยนั้น จะเป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะเท่ากับเป็นการสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ให้ยังรักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ดี หากสุดท้าย นายกรัฐมนตรีมาจากแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า เสาร์หน้าก็เจอกันอีกที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
“พรรคประชาชน ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเล่นบทละคร ไม่เลือกซ้าย ไม่เลือกขวา ก็เท่ากับเลือกพรรคเพื่อไทย คุณจะไปจับมือกับใครก็ได้ ที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย เราไม่สามารถรับแคดดิเดตนายกรัฐมนตรีต่อไปของพรรคเพื่อไทยได้ ไม่ใช่คุณชัยเกษมจะดีหรือไม่ดี เป็นคนละเรื่อง แต่ในทางการเมือง กรณีไทยกัมพูชาเป็นความเสียหายสูงสุดแล้ว จะปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำรงอยู่ ก็เห็นอยู่แล้ว ว่าพรรคเพื่อไทยมาบริหารประเทศ ใครทำหน้าที่เสมียนประเทศใหญ่กว่าทุกองค์กรอยู่ในขณะนี้ พรรคไหนก็ได้ ที่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย” นายจตุพร ระบุ
พร้อมย้ำว่า ต้องพอกันทีกับการปกครองที่มาจากคนในตระกูลชินวัตร ซึ่งที่ผ่านมามีนายกรัฐมนตรีจากตระกูลนี้ 3 คนแล้ว ดังนั้นต้องหยุดที่ต้นทาง คือหยุดที่พรรคเพื่อไทย ต้องขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ
“เราไม่ได้ไปเลือกว่าเขาต้องเป็นใคร แต่ต้องไม่ใช่มาจากพรรคเพื่อไทย และต้องขึ้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขของประชาชน พร้อมขอท้านายภูมิธรรม ว่าถ้าแน่จริงยุบสภาเลย ฉะนั้นจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด” นายจตุพร กล่าว
- ชี้ที่มานายกฯ มีแค่ 2 ทาง “รัฐสภา-รัฐประหาร”
ส่วนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 3-5 ก.ย.68 ที่สภาผู้แทนราษฎร จะมีการนำมวลชนไปสังเกตการณ์หน้ารัฐสภาหรือไม่นั้น นายจตุพร มองว่า เรื่องนี้อาจจะมีข้อสรุปได้ในวันที่ 3 ก.ย.เลยก็เป็นได้ เพราะทุกอย่างต้องจบภายในสัปดาห์นี้ และหากนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทย ก็เชื่อว่าในวันที่ 9 ก.ย.นี้ จะไม่เห็นตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อฟังคำวินิจฉัยในคดีบังคับโทษ ชั้น 14 แน่นอน
นายจตุพร ย้ำว่า จุดยืนของคณะรวมพลังแผ่นดิน คือไม่เอาการรัฐประหารเด็ดขาด โดยขอให้แก้ไขทุกอย่างตามรัฐธรรมนูญ เพราะประเทศนี้จะไม่มีทางตัน ยกเว้นแต่ละฝ่ายจะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว พร้อมมองว่า ที่มาของนายกรัฐมนตรีคนใหม่มีได้แค่ 2 ทางเท่านั้น ไม่มีทางอื่น คือ 1.จากรัฐสภา และ 2.จากรัฐประหาร
- ชวนมวลชนสังเกตการณ์โหวตนายกฯ ใหม่ที่รัฐสภา 3-5 ก.ย.
ด้านนายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำคณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย กล่าวในช่วงค่ำวันเดียวกัน โดยชวนให้มวลชนไปรวมตัวกันที่รัฐสภา เพื่อรอติดตามการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 3-5 ก.ย.นี้ ส่วนวันที่ 2 ก.ย. ขอให้มวลชนเดินทางไปรวมตัวกันที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อติดตามเรื่องคดีคลิปเสียงสนทนาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
รวมถึงคำร้องที่ตนได้ยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรี สส. และ สว หลังพบว่ากระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 และมาตรา 88 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กรณีตัดงบประมาณ 35,000 ล้านบาท ที่เป็นส่วนของการเงินชำระต้นเงินกู้ ตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ซึ่งตามรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้แตะต้องเงินงบประมาณดังกล่าว โดยได้นำเงิน 35,000 ล้านบาทที่ปรับลดมาแล้ว ไปเป็นงบกลางเพื่อใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ เติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิตอลวอลเล็ตซึ่งได้ยื่นร้องไปเมื่อวันที่ 25 เม.ย.68 เพื่อให้ ป.ป.ช. ส่งสำนวนไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ผ่านไปถึง 4 เดือนแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้า
นายนิติธร ยืนยันว่า สิ่งที่คณะรวมพลังแผ่นดินทำอยู่ตอนนี้ ไม่มีเรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของบ้านเมืองล้วน ๆ ไม่ได้เชียร์พรรคการเมืองใดทั้งสิ้น และขอให้ประชาชนทั้งแผ่นดินลุกขึ้นสู้กับนักการเมือง กลุ่มทุน และข้าราชการ ที่ทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 68)