
ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ยืนยันว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังคงเดินหน้าเจรจาการค้ากับนานาชาติต่อไป แม้ศาลอุทธรณ์กลางจะมีคำตัดสินด้วยมติ 7 ต่อ 4 เสียงว่า มาตรการกำแพงภาษีส่วนใหญ่ของทรัมป์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากประธานาธิบดีไม่มีอำนาจในการตั้งกำแพงภาษีโดยตรง
เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ (31 ส.ค.) ว่า บรรดาประเทศคู่ค้ายังคงทำงานร่วมกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และทุกฝ่ายกำลังเดินหน้าทำข้อตกลงกันต่อไป โดยไม่สนใจว่าศาลจะมีความเห็นอย่างไรในระหว่างนี้ แม้เขาจะไม่ได้ระบุชื่อประเทศ แต่เปิดเผยว่าเพิ่งได้พูดคุยกับรัฐมนตรีการค้าของประเทศหนึ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (30 ส.ค.)
คำตัดสินดังกล่าวถือเป็นความท้าทายครั้งสำคัญต่อนโยบายต่างประเทศที่เป็นเสมือนเสาหลักของทรัมป์ในวาระที่สอง ซึ่งเขาใช้กำแพงภาษีเป็นเครื่องมือสร้างแรงกดดันทางการเมืองและเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่มาโดยตลอด
โดยศาลชี้ว่าแม้รัฐสภาจะให้อำนาจประธานาธิบดีอย่างสูงในการรับมือภาวะฉุกเฉิน แต่ไม่ได้รวมถึง “อำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรหรืออากรโดยตรง” คำตัดสินนี้ครอบคลุมถึงมาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่ประกาศใช้ในเดือนเม.ย. และกำแพงภาษีที่ใช้กับจีน แคนาดา และเม็กซิโกเมื่อเดือนก.พ. แต่จะไม่มีผลกับภาษีที่ออกมาภายใต้อำนาจกฎหมายอื่น
ด้านปธน.ทรัมป์ออกมาวิจารณ์คำตัดสินอย่างรุนแรงเมื่อวันศุกร์ (29 ส.ค.) พร้อมประกาศว่าจะนำคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา และยังโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียเมื่อวันเสาร์ (30 ส.ค.) ว่า “ปีหน้าจะเป็นปีที่ยิ่งใหญ่สำหรับ USA อาจจะดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา หากศาลอนุมัติกำแพงภาษีในที่สุด!!!”
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ได้อนุญาตให้มาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ต่อไปจนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อเปิดโอกาสให้มีการยื่นฎีกา
ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้ามองว่า รัฐบาลทรัมป์เตรียมการรับมือเรื่องนี้ไว้แล้ว และมีแผนสำรองหลายชั้นเพื่อเดินหน้ามาตรการกำแพงภาษีต่อไป
“หากประเทศอื่นคิดว่าจะได้รับการผ่อนปรนด้านภาษี พวกเขาต้องผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะยังมีทางเลือกสำรองอีกมาก ต่อให้ในที่สุดศาลฎีกาจะเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ก็ตาม” จอช ลิปสกี ประธานฝ่ายเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศของสถาบัน Atlantic Council กล่าว พร้อมยกตัวอย่างว่ารัฐบาลอาจหันไปใช้กฎหมายการค้าปี 2473 มาตรา 338 ที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีขึ้นภาษีสินค้านำเข้าได้ถึง 50% จากประเทศที่เลือกปฏิบัติต่อการค้าของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าทำเนียบขาว แสดงความเชื่อมั่นว่า ศาลฎีกาซึ่งมีฝ่ายอนุรักษนิยมครองเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 จะตัดสินเข้าข้างรัฐบาล ส่วนวุฒิสมาชิกเจมส์ แลงค์ฟอร์ด จากพรรครีพับลิกัน เรียกร้องให้ทุกฝ่ายเร่งหาข้อยุติโดยเร็วที่สุด เพราะความไม่แน่นอนทางกฎหมายกำลังสั่นคลอนเสถียรภาพของภาคธุรกิจ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ย. 68)