
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.28 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.34 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา โดยช่วงค่ำวันนี้ทางการสหรัฐฯ จะมีการประกาศตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร
ส่วนปัจจัยในประเทศตลาดรอดูผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยที่ผ่านมาตลาดตอบรับข่าวนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32
“บาทแข็งค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ แต่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา และตลาดรอดูผลโหวตเลือกนายกฯ” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.15 – 32.40 บาท/ดอลลาร์
ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยน อยู่ที่ระดับ 148.31 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 148.30 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1655 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1640 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท. อยู่ที่ระดับ 32.317 บาท/ดอลลาร์
- จับตาสภาฯโหวตนายกฯ วันนี้ “อนุทิน-ชัยเกษม” ชิงเก้าอี้ “เพื่อไทย” ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย เปิดเกมวัดใจพรรคประชาชน แบกโหวตชัยเกษม “ยุบสภาทันที” ด้าน สส.ส้ม เสียงแตก จับตาปล่อยฟรีโหวต ขณะที่ โผครม.อนุทิน ภูมิใจไทยยึดโควตาเดิม
- ตลท.เชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติมองเปลี่ยนแปลงการเมืองกะทันหัน ชี้ไม่มีผลต่อ “เศรษฐกิจไทย” ยังเดินหน้าต่อได้ แต่การเติบโตระยะยาว “จำกัด” หากไม่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ รับให้น้ำหนักนโยบายต่อเนื่อง ส่วนโครงการ JUMP +พร้อมเดินหน้าต่อ ระบุสเปก “ขุนคลัง-ทีมเศรษฐกิจ” มีความเข้าใจและใช้ประโยชน์แหล่งทุนจากตลาดหุ้นมากที่สุด
- เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า โจทย์เร่งด่วนที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะต้องแก้หลังเข้ารับตำแหน่ง มี 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ปัญหาเศรษฐกิจ 2.ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา 3.เรื่องของความปลอดภัยด้านชีวิตและทรัพย์สิน เพราะสามเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่มีผลกระทบต่อการค้าการลงทุน ความเป็นอยู่ของประชาชนที่เดือดร้อน ดังนั้น ในช่วงระยะเวลา 4 เดือน มองว่าควรเร่งดำเนินการเรื่องนี้ก่อน
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) เพื่อบังคับใช้ข้อตกลงทางการค้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ บรรลุร่วมกับญี่ปุ่นเมื่อเดือนก.ค. โดยมีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์และสินค้าอื่น ๆ จากญี่ปุ่นในที่สุด
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาแอตแลนตาเปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 3/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 และขยายตัว 3.3% ในไตรมาส 2
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 32.5% สู่ระดับ 7.83 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.57 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 5.91 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.
- ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพียง 54,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 75,000 ตำแหน่ง หลังจากพุ่งขึ้น 104,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค.
- นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา คาดการณ์ว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไป แม้ศาลฎีกาสหรัฐมีคำพิพากษาให้มาตรการดังกล่าวเป็นโมฆะ
- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้อย่างใกล้ชิด หลังข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ชะลอตัวลง
- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (4 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไรหลังจากราคาทองคำทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางตลาดแรงงานและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
- นักวิเคราะห์จาก Standard Chartered คาดการณ์ว่า ราคาทองคำมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอีก เนื่องจากนักลงทุนต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกระดับการกดดันเฟดด้วยการปลดลิซา คุก สมาชิกคณะผู้ว่าการเฟด ซึ่งนำไปสู่การต่อสู้กันทางกฎหมายในขณะนี้
- กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ มีกำหนดเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นเพียง 74,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 73,000 ตำแหน่งในเดือนก.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.3% ในเดือนส.ค. จากระดับ 4.2% ในเดือนก.ค.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.ย. 68)