ยอดร้องเรียนพุ่ง! สภาผู้บริโภคเร่งแก้วิกฤตรถ EV ฟื้นความเชื่อมั่น

สภาผู้บริโภค เร่งหาแนวทางแก้ปัญหาคุณภาพและบริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้า หลังพบปัญหาร้องเรียนพุ่ง เตรียมหามาตรการเยียวยา ดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภค พลิกอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไทยให้ไปต่อ

จากกรณีที่มีผู้บริโภคจำนวนมากได้รับผลกระทบจากปัญหารถยนต์ไฟฟ้าที่บกพร่องด้านคุณภาพ และบริการหลังการขายมากมาย เช่น ขาดอุปกรณ์การชาร์จแบตที่บ้าน รอเคลมอะไหล่ ไม่ได้รับป้ายขาว บริษัทประกันไม่รับประกัน เป็นต้น สภาผู้บริโภค ในวันที่ 3 กันยายน 2568 ได้ประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาคุณภาพและบริการหลังการขายรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจัดทำนโยบายหรือมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายที่เป็นรูปธรรมให้กับผู้บริโภคที่เลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและตัวแทนจำหน่ายโดยเร่งด่วน รวมถึงการจัดทำข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อกำหนดนโยบายระยะยาวของประเทศในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าในระยะต่อไป

โดยการประชุมครั้งนี้มีผู้แทนกรมสรรพสามิต ผู้แทนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ผู้แทนจากสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้าร่วม

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ใช้บริการรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์เนต้า (NETA) ที่มีปัญหาหลายด้าน ทั้งเรื่องอะไหล่และศูนย์บริการที่ไม่ได้ตามมาตรฐาน จึงต้องการหาแนวทางจัดทำข้อเสนอนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค พร้อมรวบรวมอุปสรรค ปัญหาและข้อเสนอนำไปเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) นำไปกำหนดนโยบายหรือมาตรการแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายที่เป็นรูปธรรมให้กับผู้บริโภคและตัวแทนจำหน่ายโดยเร่งด่วน

ทั้งนี้สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนผู้ใช้บริการรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมารวมกว่า 300 กรณี ซึ่งมี 3 ประเด็นหลักได้แก่ ปัญหาด้านบริการหลังการขายและอะไหล่ มีทั้งปัญหาชุดชาร์จแบตเตอรี่ (CDU) ชำรุดบกพร่อง การเผชิญกับปัญหาอะไหล่ที่รอเคลม 74 รายการ ทำให้ผู้เสียหายหลายรายยังไม่ได้รับการเคลม ดีลเลอร์ไม่ส่งข้อมูลเคลมเข้าระบบ ทำให้ยอดเคลมต่ำกว่าความเป็นจริง ข้อมูลลูกค้าบางส่วนไม่สามารถเข้าถึงได้ และต้องขอจากผู้ใช้งานโดยตรง และผู้บริโภคแบกรับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการใช้รถทางเลือก เช่น แท็กซี่ หรือ เช่า

ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคระบุว่าไม่ได้รับอุปกรณ์ชาร์จไฟบ้าน (Wall Box) ครบถ้วน รวมถึงระบบไฟบ้านไม่รองรับอุปกรณ์การติดตั้ง Wall Box เกิดปัญหา และค่าใช้จ่ายภายหลังหลายหมื่นบาท รวมถึงหลายกรณีไม่สามารถเคลมประกันที่ทำกับตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) ได้ โดยเฉพาะรถที่ได้รับประกันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจากโปรแกรมส่งเสริมการขาย ทำให้บริษัทประกันปฏิเสธความคุ้มครอง และต้องสำรองจ่ายค่าซ่อมเอง จึงไม่สามารถติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ได้อย่างราบรื่น ส่วนปัญหาด้านการขายและการจดทะเบียน มีทั้งเกิดความล่าช้า ไม่สามารถจดทะเบียนป้ายขาวได้ตามกำหนด การไม่ได้รับเงินมัดจำป้ายแดงคืน หลังจากคืนป้ายแดงแล้ว และบริษัทมีความขัดข้องทางการเงิน

สำหรับการร้องเรียนกรณี รถยนต์เนต้า (Neta) มีผู้เสียหาย 3 กลุ่ม ได้แก่ การไม่ได้รับป้ายขาว 26 กรณี รวมถึงการได้รับป้ายขาวแต่ยังไม่ได้รับเงินมัดจำป้ายแดงคืนจำนวน 33 กรณี การไม่ได้รับอะไหล่ตามสัญญาประกัน/ปิดศูนย์บริการ ต้องซ่อมแซมเอง ขาดความเชื่อมั่นจำนวน 233 กรณี

ทางด้านแนวทางจัดทำข้อเสนอนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคกรณี ปัญหาความชำรุดบกพร่องและบริการหลังการขายยานยนต์ไฟฟ้า ในเบื้องต้นมีทั้ง 1. กำหนดหลักเกณฑ์การประกันคุณภาพและบริการหลังการขายให้ชัดเจนก่อนการอนุมัติเงินอุดหนุน เช่น กำหนดให้ต้องมีศูนย์บริการขั้นต่ำครอบคลุมพื้นที่หลักภายใน 1 ปี หรือมีอะไหล่สำรองขั้นต่ำในไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี 2. จัดตั้งศูนย์ร้องเรียนพิเศษเกี่ยวกับ EV ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้สามารถติดตามและแก้ปัญหาเฉพาะด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3. ให้ข้อมูลผู้บริโภคอย่างโปร่งใส ทั้งเรื่องประวัติของแบรนด์ ความสามารถด้านบริการ และต้นทุนดูแลรักษาระยะยาว เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง โดยจะทำข้อเสนอแนะนโยบายเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป

“กรณีเนต้า สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 2566 แม้ว่า บริษัท เนต้า ประเทศไทย ได้แจ้งเป็นหนังสือว่าจะแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค. แต่ปัจจุบันเดือน ก.ย.ยังมีผู้ร้องเรียนต่อเนื่อง จึงต้องการร่วมแก้ปัญหาระยะยาวทั้งร่วมจัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาให้ผู้บริโภคที่ประสบปัญหาอยู่ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อทิศทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ สร้างมาตรการที่เป็นรูปธรรม สร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อผู้บริโภคที่จะเข้ามาเลือกซื้อ รวมถึงเป็นผลดีต่อภาครัฐที่ผลักดันนโยบายลงทุนในด้านนี้” นายอิฐบูรณ์ กล่าว

นางสาววิลาวรรณ อันชำนาญ ผู้แทนจากกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตมีหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษีและได้รับมอบหมายให้ดำเนินมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทั้งดำเนินนโยบายลดภาษีอากรขาเข้าและการอนุมัติเงินอุดหนุนแก่ผู้ผลิต โดยปัจจุบันได้ดำเนินการมาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV 3.0) ระยะหนึ่งในช่วงปี 2565-2568 ซึ่งมีเงื่อนไขหากเอกชนนำเข้าในช่วงปี 2565-2566 จะต้องผลิตชดเชยในปี 2567 อัตราส่วน 1 ต่อ 1 แต่หากไม่สามารถผลิตได้ทันตามแผน จะขยายไปในปี 2568 ที่ต้องผลิตในอัตรา 1:1.5 เท่า เช่น หากนำเข้า 100,000 คัน ต้องผลิตชดเชย 150,000 คันภายในปี 2568

ทั้งนี้สิทธิประโยชน์และเงื่อนไข โดยผู้เข้าร่วมมาตรการที่นำเข้ารถยนต์ระหว่างปี 2565-2566 จะได้รับสิทธิประโยชน์ ทั้งการลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% หรือลดลง 6% พร้อมกันนี้ผู้ประกอบการยานยนต์ จะได้รับเงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน ซึ่งจะจ่ายให้ภายหลังจากรถได้จำหน่ายและจดทะเบียนโดยประชาชนแล้ว แต่หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข และผู้เข้าร่วมมาตรการไม่สามารถผลิตชดเชยได้ตามกำหนด กรมสรรพสามิตจะดำเนินการเรียกคืนเงินอุดหนุน พร้อมดอกเบี้ย เรียกเก็บภาษีที่ลดให้คืน และเรียกเก็บค่าปรับอีก 1 เท่าของค่าภาษี

สำหรับกรณีของรถยนต์ไฟฟ้า เนต้า (NETA) เป็นภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมมาตรการ EV 3.0 โดยมีบริษัท เนต้า ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามบันทึกทำความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับกรมสรรพสามิต ซึ่งเนต้า ได้มีการนำเข้ารถยนต์จำนวนหนึ่งในช่วงปี 2565-2566 มีหน้าที่ต้องผลิตชดเชยในปี 2567 และ 2568 โดยบริษัทได้เริ่มผลิตในปี 2567 ผ่านการร่วมมือกับ บริษัท บางชันเยนเนอรัลเอเซมบลี จำกัด (BGAC) ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตให้แก่เนต้า ในประเทศไทย แต่ได้หยุดการผลิตชดเชยตั้งแต่ต้นปี 2568 เนื่องจากปัญหาของบริษัทแม่ที่ประเทศจีน ดังนั้นสถานการณ์ของ เนต้า จึงยังไม่ผิดเงื่อนไขทั้งหมด เนื่องจากกรอบระยะเวลาจะสิ้นสุดในเดือน ธ.ค.2568 แต่ปัจจุบันกรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลของบริษัท ทั้งยอดการผลิต ยอดการผลิตชดเชย รวมถึงกรณีในเรื่องค่าปรับ เงินอุดหนุน และดอกเบี้ยต่าง ๆ

นายปารเมศ ทองเจริญ ผู้แทนจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า กรณีปัญหาที่ สคบ. ดำเนินการเรื่องรถยนต์ไฟฟ้ามี 4 ประเด็นหลักได้แก่ ไม่ได้รับการซ่อมตามการรับประกัน (Warranty) สำหรับรถที่เสียที่เกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาการซ่อมล่าช้า ต่อมามีปัญหาเรื่อง รถเสียตามสัญญาประกันภัยและมีการซ่อมล่าช้า รวมถึงการไม่ได้รับอุปกรณ์หรือบริการการชาร์จ (Ball Charge) และความไม่มั่นใจในกรณีที่บริษัทดีลเลอร์อาจปิดตัวลง

ขณะที่กรณีของ เนต้า สคบ. ได้เร่งแก้ไขในเรื่องการจดทะเบียนและรับป้ายรถยนต์ได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว รวมถึงการคืนเงิน 3,000 บาทสำหรับป้ายแดงที่ยังไม่ได้รับคืนก็ประสานงานจนครบหมดแล้ว ส่วนความไม่มั่นใจในกรณีที่บริษัทปิดตัวลงนั้น สคบ. ได้ดำเนินการประสานงานกับ เนต้า ในเรื่องการซ่อมตามการรับประกัน (Warranty) สำหรับผู้ร้องเรียนไปแล้ว

สำหรับในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการหารือร่วมกับ เนต้า แจ้งว่ามีการนำเข้าอะไหล่ตามแผนเดิมเดือนละ 50 กล่อง แต่จากสถานการณ์ในประเทศจีนที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ เนต้า จึงอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ส่งผลให้การดำเนินการทางการเงินติดขัดตามกฎหมาย มีผลต่อระบบการเคลมการซ่อมตามการรับประกันของเนต้า ที่ค่อนข้างมีปัญหา และปัจจุบัน สคบ. กำลังเตรียมหารือกับ เนต้า ในวันที่ 5 กันยายน 2568 เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานต่อไป ซึ่งการดำเนินงานต้องพิจารณาต่อผู้ใช้งานรถยนต์เนต้าในประเทศไทยที่มีอยู่ 25,000 คันด้วยเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากที่สุด

ด้านข้อกังวลในเรื่องสัญญาประกันภัยนั้น หน่วยงานหลักที่ดูแลคือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แต่จากการที่ สคบ. ได้เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคสภาผู้แทนราษฎร ได้มีสมาคมประกันภัยชี้แจงว่า รถยนต์เนต้า ในปีหน้าจะมีการรับประกันภัยในชั้น 3 เนื่องจากไม่สามารถจัดหาอะไหล่ได้ ส่งผลให้ไม่สามารถให้บริการได้ตามสัญญารับประกัน ส่วนคนที่มีสัญญาอยู่เดิมยังคุ้มครองอยู่และไม่ได้ยกเลิกแต่อย่างใด

ส่วน นางสาววรวรรณ นรสุชา ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่า บีโอไอ เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนเข้าสู่ประเทศไทย โดยได้ดำเนินมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อดึงดูดภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนในไทย ทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีและไม่ใช่ภาษี สำหรับมาตรการทางภาษีมีทั้งยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี ทั้งการดำเนินอำนวยความสะดวกในการบริหารธุรกิจ เป็นต้น โดยการได้รับยกเว้นภาษีจะขึ้นอยู่กับประเภทกิจการ มีระยะเวลาสูงสุดที่ 8 ปี

ขณะที่ นายครรชิต ไชยสุโพธิ์ สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย กล่าวเสริมถึง สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีสมาชิกหลักเป็นเจ้าของแบรนด์รถยนต์ ที่เป็นผู้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ดังนั้นแนวทางขับเคลื่อนของสมาคมฯ มุ่งมาตรการความรับผิดชอบในภาพรวม และดูแลให้บริษัทแบรนด์เจ้าของดำเนินการแก้ไขปัญหาและดูแลการขาย การทำข้อตกลงที่เป็นธรรมกับผู้บริโภค รวมถึงบริการต่างๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมาจากดีลเลอร์ โดยเฉพาะบริษัทใหม่ ๆ ที่อาจขาดความพร้อม อาทิ บริการหลังการขาย ได้ป้ายขาวช้า และไม่คืนเงินมัดจำ เป็นต้น ดังนั้น ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบสามารถดำเนินการตามมาตรทางสังคม ด้วยการโพสต์ข้อร้องเรียนในช่องทางดิจิทัลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภครายอื่นรับทราบประสบการณ์ เพื่อเป็นแนวทางที่ทำให้บริษัทที่ได้รับทราบข้อมูลรีบดำเนินการแก้ไข มุ่งรักษาภาพลักษณ์ของบริษัท แต่หากไม่สามารถดำเนินการแก้ไขก็อาจจะอยู่ในตลาดได้ไม่นาน

สำหรับ นายสยามณัฐ พนัสสรณ์ อุปนายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย ฝ่ายอุตสาหกรรมและการพัฒนาธุรกิจ รายงานถึงสถิติรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย มีการจดทะเบียนในไทยปัจจุบันประมาณ 2 แสนคัน และในปีที่ผ่านมามีการจดทะเบียนใหม่ประมาณ 96,000 คัน ส่วนยอดการผลิตในประเทศทั้งหมดจำนวนเกือบ 5 แสนคัน และโครงสร้างพื้นฐานมีจุดชาร์จทั้งหมด 11,000 จุด ซึ่งมีประมาณ 6,500 จุด ที่เป็นชุดตู้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Fast Charger)

ด้านกรณีปัญหาของ เนต้า ที่เกิดขึ้นนั้น สมาคมกำลังช่วยประสานงานเพื่อช่วยเหลือ ผู้ผลิตคือ บริษัท บางชันเยนเนอรัลเอเซมบลี จำกัด (BGAC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการไทยที่รับจ้างผลิตให้เนต้า ที่กำลังได้รับผลกระทบเช่นกัน นอกจากนี้ สมาคมฯ กำลังเตรียมข้อเสนอหลายด้านต่อภาครัฐ เพื่อสร้างอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของไทยให้แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งแนวทางพิจารณาการจ่ายเงินชดเชย โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าต้องผลิตชดเชยให้ได้ถึงระดับหนึ่งจึงจะสามารถเบิกเงินได้ เพื่อป้องกันปัญหาการนำเงินไปใช้โดยไม่ตรงวัตถุประสงค์ รวมถึงการหารือร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยในประเด็น ประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาแพง ตลอดจนข้อเสนอเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้เครื่องชาร์จ เป็นต้น ตลอดจนการผลักดันให้ผู้ผลินรถยนต์ไฟฟ้าในไทยใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากที่สุด

นายวีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา อนุกรรมการด้านสินค้าและบริการทั่วไป สภาผู้บริโภค เสริมว่า การที่ประเทศไทยมีกลุ่มทุนรถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศเข้ามาผลิตในประเทศและได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ รวมถึงได้รับการส่งเสริมเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น จะต้องติดตามและมอนิเตอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดกรณีปัญหาซ้ำรอยกับ เนต้า และทำให้ประเทศไทยรวมถึงผู้บริโภคที่เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ประโยชน์อย่างสูงสุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ก.ย. 68)