
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับการรับรองจากศาลฎีกาสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่า หากศาลมีคำตัดสินให้เป็นโมฆะ กระทรวงการคลังอาจต้องคืนเงินจำนวนมหาศาลประเทศผู้นำเข้าที่จ่ายภาษีให้กับสหรัฐฯ แล้ว
เบสเซนต์ให้สัมภาษณ์ในรายการ “Meet the Press” ของสำนักข่าว NBC เมื่อวันอาทิตย์ (7 ก.ย.) ว่า หากคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาไม่เป็นผลตามที่คาด รัฐบาลอาจต้องคืนเงินราวครึ่งหนึ่งของภาษีที่เรียกเก็บมาแล้ว ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลังอย่างหนัก แต่ก็ย้ำว่า หากศาลมีคำสั่งก็ต้องปฏิบัติตาม
เบสเซนต์กล่าวเพิ่มเติมว่า หากการพิจารณาคดีล่าช้า ยอดภาษีที่เก็บแล้วอาจสูงถึง 7.5 แสนล้านถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ แฃะการคืนเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้อาจสร้างส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ
ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ปธน.ทรัมป์ประกาศใช้ โดยคณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 4 เสียง ตัดสินว่า ผู้นำสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ค.ศ. 1977 โดยศาลได้อนุญาตให้มาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์ยังคงบังคับใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ต่อมาในวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ศาลฎีกาเร่งรับคำร้องและกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่เขาประกาศใช้กับประเทศทั่วโลกนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปธน.ทรัมป์ได้ยื่นเอกสารต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลพิจารณาการอุทธรณ์ของเขาในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้ และขอให้ศาลประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
“การชะลอคำตัดสินไปจนถึงเดือนมิ.ย. 2569 อาจมีผลต่อภาษีศุลกากรที่ได้มีการจัดเก็บไปแล้วมูลค่า 7.50 แสนล้านดอลลาร์ – 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการยกเลิกมาตรการเหล่านี้ในภายหลังอาจทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก” ปธน.ทรัมป์ระบุในเอกสารดังกล่าว
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้ใช้ข้อกฎหมาย IEEPA ในการกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าในอัตราสูงต่อประเทศคู่ค้า โดยประกาศให้การขาดดุลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ เป็นวาระฉุกเฉินของชาติ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (08 ก.ย. 68)