
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผย ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เดือนส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 50.1 โดยปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 7 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 32 เดือน นับตั้งแต่เดือนม.ค.66
โดยดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 44.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 48.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 58.0
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนส.ค.68 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องทุกรายการ เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังจากศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง และฟื้นตัวได้ช้า
“เรียกได้ว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภค หดหายไปประมาณ 2 ปีครึ่ง เหตุผลมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือจะมีการยุบสภาหรือไม่ รวมทั้งกังวลที่เศรษฐกิจซึมตัว และอาจจะทรุดตัวต่อ ประกอบกับมีสถานการณ์น้ำท่วม จึงทำให้ดัชนีฯ ลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7” นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุ
อย่างไรก็ดี ในช่วงการสำรวจดัชนีฯ ดังกล่าว ยังอยู่ในช่วงเดือนส.ค.68 ที่สถานการณ์ทางการเมืองไทยมีความไม่แน่นอน เพราะเพิ่งมีเหตุการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ประชาชนมีความไม่มั่นใจเสถียรภาพการเมืองไทยว่าจะมีการยุบสภาเกิดขึ้นหรือไม่ และรัฐบาลใหม่-นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จากมาจากพรรคการเมืองใด

*ลุ้นดัชนีเชื่อมั่นฯ ก.ย.ฟื้นตัว หลังมีรัฐบาลใหม่-ตอบรับเชิงบวก ทีม ศก.
นายธนวรรธน์ ระบุว่า สถานการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เป็นขาลง อาจจะถูกเบรกได้ หลังจากที่ในเดือน ก.ย.นี้ การเมืองไทยเริ่มเห็นความชัดเจน หลังจากมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกอบกับเริ่มเห็นเค้าลางของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตามโผรายชื่อที่ออกมา โดยเฉพาะรัฐมนตรีคนนอกในทีมเศรษฐกิจ ที่กระแสสังคมต่างให้การตอบรับในเชิงบวก
รวมทั้งแนวคิดที่จะนำโครงการ “คนละครึ่ง” ที่เคยประสบความสำเร็จในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาใช้ใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ซึ่งอาจจะส่งผลดีต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคให้เริ่มกลับมาเป็นขาขึ้นได้ หากเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้ระยะเวลาการทำงานที่มีอยู่อย่างจำกัด
“สัญญาณความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เป็นขาลง อาจจะถูกเบรกได้ในเดือนก.ย. ที่ทุกคนมองในเชิงบวก จากความหวังของการมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ (นายอนุทิน) และมีรัฐมนตรีคนนอกที่สังคมตอบรับในเชิงบวก และถ้าผลงานรัฐบาลออกมาเป็นรูปธรรมชัดเจน ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขาขึ้น น่าจะเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป” นายธนวรรธน์ ระบุ
ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคในระยะต่อไป คือ ภาวะสงครามในตะวันออกกลาง ตลอดจนความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-โปแลนด์, ประเทศในยุโรปและสหรัฐฯ มีการแซงชั่นรัสเซียเพิ่มเติม ซึ่งสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย เพราะหากสถานการณ์รุนแรงบานปลายก็จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้ ซึ่งแทนที่จะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น อาจจะเหลือแค่เพียงการประคองตัวเท่านั้น
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 68)