
ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (TCC INDEX) เดือนส.ค.68 อยู่ที่ระดับ 44.2 ลดลงจากเดือนก.ค. ซึ่งดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 45.9 โดยดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องทุกรายการ และปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 โดยดัชนีที่ลดลงมากที่สุด คือ ดัชนีภาคการค้าชายแดนของจังหวัด และดัชนีภาคบริการของจังหวัด
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในแต่ละภูมิภาค เป็นดังนี้
- กรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ 45.1 ลดลงจากเดือนก.ค. ซึ่งอยู่ที่ 46.0
- ภาคกลาง อยู่ที่ 44.3 ลดลงจากเดือนก.ค. ซึ่งอยู่ที่ 45.4
- ภาคตะวันออก อยู่ที่ 48.4 ลดลงจากเดือนก.ค. ซึ่งอยู่ที่ 49.4
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ 42.7 ลดลงจากเดือนก.ค. ซึ่งอยู่ที่ 44.2
- ภาคเหนือ อยู่ที่ 45.1 ลดลงจากเดือนก.ค. ซึ่งอยู่ที่ 46.3
- ภาคใต้ อยู่ที่ 43.7 ลดลงจากเดือนก.ค. ซึ่งอยู่ที่ 44.5
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยอธิการบดี และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนี้ เป็นสัญญาณการชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในมุมมองของผู้ประกอบการ
ปัจจัยลบ ได้แก่
- สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายไทย-กัมพูชา ที่ยกระดับจนเกิดเหตุรุนแรงหลายระลอก
- ความกังวลต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการตอบโต้ของประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0
- ความเชื่อมั่นทางการเมือง และเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบัน
- เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ตลอดจนปัญหาค่าครองชีพ ส่งผลกระทบต่อยอดขายของธุรกิจที่อาจจะไม่เติบโต
- ราคาข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา อาจส่งผลต่อรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นไม่มาก
- ปัญหาต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเรื่องของค่าแรงสูงขึ้น
- สถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ
ปัจจัยบวก ได้แก่
- สภาพัฒน์ เผย GDP ไทยไตรมาสที่ 2/68 ขยายตัว 2.8% สูงกว่าตลาดคาด พร้อมปรับประมาณการเศรษฐกิจทั้งปี โต 1.8-2.3%
- กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50%
- ผลการเจรจาทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ที่สหรัฐฯ ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลงมาเหลือ 19% จาก 36%
- รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”
- การส่งออกของไทยเดือน ก.ค. 68 ขยายตัว 11% ที่มูลค่า 28,580 ล้านดอลลาร์
- ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงเล็กน้อย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ มีข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาไปถึงภาครัฐ ดังนี้
- แก้ไขความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัว รวมทั้งหามาตรการป้องกัน และรับมือกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งการบริหารจัดการการค้าชายแดน
- มาตรการป้องกันและเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง และขาดรายได้เป็นเวลานาน
- มาตรการปล่อยสินเชื่อสำหรับภาคธุรกิจ SMEs เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
- เร่งออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นที่สามารถเพิ่มยอดคำสั่งซื้อสินค้า/บริการในทุกสาขาธุรกิจ
- รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการส่งออก และภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
- มาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อช่วยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นลง
ทั้งนี้ ในเดือนก.ย. จะต้องจับตากรณีที่ประเทศไทยมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ รวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจที่จะออกมา ว่าจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการได้มากน้อยเพียงใด รวมถึงแนวโน้มการเลือกตั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ว่าจะทำให้ภาคธุรกิจมีมุมมองต่อเศรษฐกิจของประเทศในทิศทางที่ดีขึ้น และกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้นได้หรือไม่
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 68)