
ในยุคที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ตั้งแต่การเติบโตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งล่าสุด รัฐบาลใหม่ของ “พรรคภูมิใจไทย” ได้เข้ามารับหน้าที่ภายใต้กรอบระยะเวลาที่จำกัดเพียง 4 เดือนในการบริหารประเทศ คำถามสำคัญ คือในช่วงเวลาอันจำกัดนี้ รัฐบาลใหม่จะสามารถทำอะไรเพื่อพาเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้บ้าง และนโยบายใดที่ควรดำเนินการสานต่อ หรือควรหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน
นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้มุมมองที่น่าสนใจ เริ่มจากฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ลากยาวมาถึงช่วงโควิด-19 เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงเรื่อย ล่าสุดเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2% กว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งตามศักยภาพแล้วเศรษฐกิจไทยควรเติบโตที่ประมาณ 2.7-3.0% แต่จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 68 จากนักวิเคราะห์ต่าง ๆ คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโตอยู่ที่ประมาณ 1.8% และมองไปข้างหน้า คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 69 อาจจะเติบโตลดลงเหลือ 1.5%
ทั้งนี้ ปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำลงเรื่อย ๆ มาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยบางส่วนเป็นผลมาจากช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจแย่ลงทั้งโลกต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผลที่ตามมาคือทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาน้อยลง การค้าเติบโตชะลอลง ขณะที่ประชาชนบางส่วนก็ต้องก่อหนี้ยืมสิน แต่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ทำให้ภาระหนี้ต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญปัญหาวิกฤติย่อม ๆ อาทิ ภัยพิบัติ อย่างแผ่นดินไหว หรือน้ำท่วม ซึ่งกระทบภาคอสังหาริมทรัพย์ และภาคก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังเจอภาษีสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าไทยเจอวิกฤติซ้อนวิกฤติไปเรื่อย ๆ ขณะที่เชิงโครงสร้างก็อ่อนแอลง ความสามารถในการแข่งขันลดลง ต้นทุน แรงงาน เริ่มสู้ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้
“เครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยทั้ง 2 ตัว ทั้งภาคท่องเที่ยว และภาคส่งออก สำหรับปีนี้มองว่าจะยังพอไปได้ โดยภาคท่องเที่ยวปี 68 ประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 34 ล้านคน (จากเดิม 36 ล้านคน) มองว่ายังมีนักท่องเที่ยว แต่จำนวนน้อยลง ส่วนภาคส่งออก การค้าในปีนี้ คาดว่าจะโตที่ 3-4% ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกล่วงหน้า หรือการอั้น จากการที่สหรัฐฯ ประกาศจะเก็บภาษีทั่วโลกสูงขึ้น ดังนั้น ในปี 69 ประเมินว่าภาคส่งออกอาจจะแย่ลง จากภาษีที่แพงขึ้น และบางส่วนที่เราส่งออกไปล่วงหน้าแล้ว” นายนณริฏ กล่าว
- วัดฝีมือ 4 เดือน รัฐบาล “ภูมิใจไทย” กับนโยบายฟื้นเศรษฐกิจ
จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐบาลใหม่ของพรรคภูมิใจไทย ควรดำเนินนโยบายใด และไม่ควรดำเนินนโยบายใดบ้างนั้น นายนณริฏ กล่าวว่า เป็นโจทย์ยาก เพราะต้องเข้าใจว่ารัฐบาลนี้เข้ามาในระยะเวลาแค่ 4 เดือน ถ้ารวมช่วงเลือกตั้งก็อาจอยู่ไปอีก 2-3 เดือน ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่จะทำให้รัฐบาลนี้ขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ได้ยาก เพราะจากโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะมีรัฐมนตรีใหม่ ๆ เข้ามา ไม่ใช่เจ้ากระทรวงเดิม ซึ่งรัฐมนตรีหน้าใหม่ก็ต้องมีการเรียนรู้ ศึกษาว่าอะไรดีหรือไม่ดี จึงอาจทำให้การขับเคลื่อนนโยบายเป็นไปได้จำกัด
สำหรับสิ่งที่มองว่ารัฐบาลนี้จะทำได้ คือ ต้องไปศึกษาดูนโยบายในอดีตว่ามีนโยบายใดที่ดี และสามารถดึงกลับมาใช้ได้บ้าง เพราะนโยบายต่าง ๆ มักมีประวัติศาสตร์ในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งก็ตาม เช่น โครงการคนละครึ่ง ที่มีข่าวว่ารัฐบาลนี้จะนำกลับมาใช้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเคยดำเนินมาแล้วในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และดำเนินมาถึง 5 เฟส มีการเรียนรู้ ปรับปรุงแล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี ร้านค้าต่าง ๆ ก็เข้าระบบแล้ว ประชาชนก็มีความคุ้นชินกับระบบ ดังนั้น ถ้ารัฐบาลนี้จะดึงนโยบายนี้กลับมาใช้ ก็จะสามารถผลักดันได้ง่ายกว่าการสร้างอะไรใหม่ ๆ เพราะกว่าประชาชน ร้านค้าจะเรียนรู้ และกว่าจะมีการทำ Policy Design ผ่านการเรียนรู้ก็จะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
“สิ่งที่ทำได้คือ ต้องกลับไปดูว่า มีนโยบายอะไรบ้างที่พอเข้าท่า สามารถที่จะเกิดประโยชน์ได้ ก็เร่งดันในช่วงเวลานี้ คิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ ทั้งนี้ มองว่าถ้าเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังโตต่ำกว่าศักยภาพ ในทางเศรษฐศาสตร์การกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังเป็นเหตุผลในการกระตุ้นได้อยู่” นายนณริฏ กล่าว
ส่วนสิ่งที่รัฐบาลไม่ควรทำนั้น มองว่า บางนโยบายต้องระวังและมีการกลั่นกรองที่ดี โดยควรทำการศึกษาอย่างรอบคอบ เช่น โครงการที่ต้องทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุภาพ (EHIA) หรือบางโครงการต้องดูในเชิงกฎหมาย หรือบางโครงการมีความสำคัญมากจนต้องผ่านความเห็นจากประชาชน ดังนั้น นโยบายบางอย่างจึงควรเป็นนโยบายที่ควรหาเสียงเลือกตั้งก่อน ถึงจะมาเริ่มดำเนินการ
นายนณริฏ กล่าวว่า รัฐบาลนี้ไม่ควรสร้างนโยบายระยะยาวที่ไปผูกพันในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้านโยบายดังกล่าวยังไม่ได้ศึกษามาอย่างถี่ถ้วนดีพอ ถ้านโยบายมีความเสี่ยงทางด้านการคลัง ความเสี่ยงผลกระทบต่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมทั้งถ้าอยากให้นโยบายขับเคลื่อนได้จริง ๆ ก็ควรมีเจตนารมณ์ร่วมกับประชาชนก่อน คือเอาไปหาเสียง และท้ายที่สุด พอหาเสียงแล้ว ประชาชนเห็นชอบด้วย และได้รับการเลือกตั้งเข้ามา จึงค่อยดำเนินนโยบายดังกล่าว
“อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ เรื่องยาว ๆ เรื่องที่เป็นปัญหาซึ่งต้องการการดำเนินการระยะยาว ก็อยากให้พิจารณาความเหมาะสมอย่างถี่ถ้วนรอบด้านก่อน อย่าเพิ่งเร่งดำเนินการ” นายนณริฏ กล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อลองพิจารณาถึงนโยบายระยะสั้น จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ในช่วงหลัง ๆ สะท้อนให้เห็นว่า ประสิทธิภาพของการกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง เปรียบเหมือนการฉีดสเตียรอยด์ หรือถ้าอยากตื่นก็อัดกาแฟ ชาเขียวเข้าไป ซึ่งพอทำไปเรื่อย ๆ ประสิทธิภาพของการกระตุ้นจะลดลง เหมือนประเทศไทยในขณะนี้ที่กำลังเผชิญสถานการณ์นี้อยู่ เพราะเริ่มเสพติดการอัดฉีดเงินระยะสั้น หรือที่เรียกว่า “นโยบายประชานิยม”
นายนณริฏ กล่าวว่า โครงการที่ทำแบบประชานิยม แจกเงิน หรือทำระยะสั้น ควรจำกัดเท่าที่จำเป็น ควรเน้นจุดอ่อน จุดที่เศรษฐกิจไม่ดีจริง ๆ คนเดือดร้อนจริง ๆ ถึงใช้ แต่ในสถานการณ์ทั่วไป ไม่ควรทำ เช่น โครงการคนละครึ่ง ควรจำกัดงบประมาณ และจำกัดผู้เข้าร่วม ไม่ใช่ช่วยทุกคน เพราะประสิทธิผลจะลดลงอย่างมาก ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทำ คือ มองระยะยาว และลดความสำคัญของนโยบายระยะสั้นลง
สำหรับงบประมาณที่เหมาะสมสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ “คนละครึ่ง” นายนณริฏ มองว่า ในช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ใช้งบประมาณในโครงการคนละครึ่ง เฟสแรกใกล้เคียงกันอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งรัฐบาลนี้ระบุว่าเบื้องต้นมีงบ 2.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถ้าเทียบกับขนาดเศรษฐกิจไทยที่อยู่ที่ประมาณ 19-20 ล้านล้านบาทนั้น งบ 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นประมาณ 0.1% ถือว่าไม่ได้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก ทั้งนี้ ยังไม่ได้คำนวณถึงนโยบายอื่น ๆ ซึ่งต้องดูทั้งแพ็กเกจ จะได้รู้ว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งโครงการอยู่ที่เท่าไร แต่ถ้ามองโครงการเดียวถือว่า 0.1% ไม่ได้เยอะจนเกินไป
ส่วนการดำเนินนโยบายคนละครึ่ง จะมีผลต่อเศรษฐกิจมากน้อยอย่างไรนั้น นายนณริฏ กล่าวว่า การประเมินความสามารถในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องใช้ตัวคูณ เช่น รัฐบาลลงไป 1 บาท จะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่าไรนั้น สมัยโครงการคนละครึ่งในสมัยของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้มีการคำนวณตัวคูณอยู่ที่ประมาณ 1.2-1.8 เท่า หรือลงไป 1 บาท ได้กลับมา 1.2-1.8 บาท
อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดของนโยบายคนละครึ่งของรัฐบาลนี้ มีความแตกต่างกัน ในรัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเงื่อนไขแบบ 50:50 แต่เงื่อนไขโครงการล่าสุด ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ระบุว่า อาจมีประชาชนบางส่วน ได้ร่วมโครงการด้วยเงื่อนไขแบบ 60:40 โดยรัฐช่วยอุดหนุน 60% และประชาชนผู้เสียภาษีจ่าย 40% และอาจมีประชาชนอีกส่วนได้ร่วมโครงการด้วยเงื่อนไขแบบ 50:50 ดังนั้น ในกรณีที่รัฐออก 60% แปลว่ารัฐออกเงิน 60 บาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณ 1.6 เท่า ต่างจากเงื่อนไขที่รัฐออก 50% ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 2 เท่า หรือมีประสิทธิภาพหย่อนลง
- นโยบายไหนที่ภูมิใจไทยควรเลือก “สานต่อ” หรือ “เก็บเข้ากรุ”
นายนณริฏ กล่าวว่า บางนโยบายมีความชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลภูมิใจไทยจะไม่สานต่อนโยบายของเพื่อไทย อาทิ นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต เนื่องจากมีการประกาศว่าจะใช้โครงการคนละครึ่งแล้ว ซึ่งทั้ง 2 นโยบายนี้เป็นนโยบายประเภทเดียวกัน คือ แจกเงินเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น ถ้าเลือกทำโครงการคนละครึ่ง ก็คือไม่เลือกดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว
ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มองว่า รัฐบาลภูมิใจไทยจะไม่ดำเนินการต่อเช่นกัน เนื่องจากมีเรื่องงบประมาณ และภูมิใจไทยน่าจะมีตัวเลขงบประมาณอยู่แล้วว่าควรจะเท่าไร และมีรูปแบบการจัดการต่าง ๆ ขณะที่นโยบายการปรับค่าแรงงานขั้นต่ำนั้น จากการบริหารประเทศในระยะเวลาสั้น ๆ เชื่อว่าภูมิใจไทยน่าจะไม่ได้แตะโครงการนี้ เพราะการขึ้นค่าแรงต้องค่อยเป็นค่อยไป และต้องมีกลไกไตรภาคี ซึ่งไม่ได้ขับเคลื่อนได้ง่าย
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายที่ไม่เห็นด้วยให้ดำเนินการต่อ เช่น นโยบายแลนด์บริดจ์ (Land Bridge) ซึ่งคาดการณ์ว่ารัฐบาลภูมิใจไทยจะสานต่อ แต่จากที่ศึกษาข้อมูลมา ยังไม่เห็นข้อมูลที่สนับสนุนว่าควรจะสนับสนุนโครงการนี้
ขณะเดียวกัน ยังมีนโยบายอื่น ๆ ที่ยังเป็นคำถามคลุมเครือว่า สุดท้ายแล้วจะดำเนินการอย่างไรต่อ เช่น นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าผลลัพธ์ดีหรือไม่ ในส่วนของนโยบายที่มองว่ารัฐบาลเพื่อไทยทำมาดีแล้วควรสานต่อ อาทิ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะช่วยสนับสนุนให้คนเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขได้ดีขึ้น
- เศรษฐกิจไทยใน 4 เดือน รัฐบาลภูมิใจไทย “ประคอง” หรือ “ขับเคลื่อน”?
สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองของไทยในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนทั้งในและต่างชาติหรือไม่นั้น นายนณริฏ กล่าวว่า ปกติแล้วการลงทุน 1 ครั้งหวังผลไปอีกหลายปี แปลว่านโยบายระยะยาวจะต้องมีความแน่นอน ปัจจุบัน ไทยมีรัฐบาลใหม่ที่อยู่ได้ 4 เดือน จึงไม่สามารถออกนโยบายระยะยาวที่จะสามารถกระตุ้นได้โดยง่าย ดังนั้น สถานการณ์การเมืองไทยส่งผลกระทบต่อการลงทุนแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ก็มีนโยบายบางส่วนที่มีความแน่ชัดแล้วในอดีต เช่น Data Center ก็คงดึงดูดการลงทุนต่อไปได้ แต่โครงการใหม่ ๆ ที่เป็น Flagship อาจมีจำกัด เช่น รัฐบาลที่แล้วจะทำสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ก็มีทุนหลายรายที่สนใจ พอมารัฐบาลนี้อาจจะพูดถึงแลนด์บริดจ์ หรือเศรษฐกิจกัญชา ก็มีนักลงทุนรออยู่ แต่ทั้งนี้ถ้านโยบายยังไม่มีความแน่นอนว่าจะเกิด ก็จะชะลอการลงทุนในส่วนนี้ไป
นายนณริฏ มองว่า สุดท้ายแล้ว หากรัฐบาลภูมิใจไทยอยู่ 4 เดือนจริง จะเป็นการประคองเศรษฐกิจมากกว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งการประคองก็จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา และอีกหนึ่งสิ่งที่รัฐบาลภูมิใจไทยจะดำเนินการ คือเรื่องของความพยายามจะแก้ไขปัญหาทางการเมือง ทำประชามติต่าง ๆ ดังนั้น พลังในการแก้ปัญหาระยะยาวจึงมีจำกัด
“หน้าที่ของรัฐบาลสำหรับผม ควรเอาเศรษฐกิจนำ เพราะถ้าทุกคนรวยแล้ว ก็คงไม่ทะเลาะกัน ถ้าเค้กในประเทศใหญ่พอ ถ้าทุกคนมีกินมีใช้ มีเหลือ ก็คงไม่มีใครทะเลาะกัน…ถ้าเป็นไปได้ หันมาดูเศรษฐกิจอย่างเดียว เลิกยุ่งการเมืองกันสักพักหนึ่ง น่าจะดีกว่า” นายนณริฏ กล่าวว่า
ส่วนสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่านั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งภาคท่องเที่ยวและภาคส่งออก โดยนายนณริฏ มองว่า เงินบาทที่แข็งค่าส่งผลกระทบมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเวียดนามที่ค่าเงินอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ ดังนั้น นักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อน้อย จึงมีบางส่วนถอดใจเปลี่ยนไปเที่ยวเวียดนาม ขณะที่ภาคส่งออกนั้น การที่เงินบาทแข็งค่าจนเกินไป ทำให้สินค้าไทยมีราคาแพงกว่าประเทศคู่แข่ง ดังนั้น ภาครัฐจึงต้องศึกษาว่าปัจจัยแท้จริงที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกิดจากอะไร และจะมีวิธีที่จะช่วยลดปัญหาหรือไม่ เพื่อให้แก้ปัญหาให้ถูกจุด ไม่อยากให้แทรกแซงโดยไม่สมเหตุสมผล และควรหาทางออกอย่างยั่งยืน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (12 ก.ย. 68)