ดัชนี PMI ขั้นต้นของอินเดียเดือนก.ย.โตแผ่วลงจากเดือนก่อน แต่ยังแกร่ง

S&P Global เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในวันนี้ (23 ก.ย.) บ่งชี้ว่า การเติบโตของภาคเอกชนอินเดียในเดือนก.ย. ยังคงแข็งแกร่ง แต่ชะลอตัวลงจากระดับสูงสุดในรอบหลายปีของเดือนส.ค. โดยปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลให้ยอดสั่งซื้อใหม่แผ่วลง และไม่สามารถกระตุ้นการจ้างงานให้เพิ่มขึ้นได้

ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของอินเดียจาก HSBC ปรับตัวลงสู่ระดับ 61.9 ในเดือนก.ย. จาก 63.2 ในเดือนส.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 62.9 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงถือเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วเป็นอันดับสองในรอบกว่าสองปี

ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว

การชะลอตัวครั้งนี้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงสู่ 58.5 จาก 59.3 ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 61.6 จาก 62.9

ยอดธุรกิจใหม่โดยรวมยังขยายตัวได้ดี แต่ในอัตราที่ชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยบริษัทบางแห่งระบุว่าแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงทำให้รับคำสั่งซื้อได้น้อยลง ขณะที่อุปสงค์จากต่างประเทศก็อ่อนแอลงเช่นกัน ส่งผลให้ยอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออกใหม่ขยายตัวในอัตราต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวในภาคบริการ

ด้านการจ้างงานขยายตัวในระดับปานกลางและชะลอลงจากเดือนส.ค. โดยมีผู้ผลิตเพียงประมาณ 3% และผู้ให้บริการ 5% ที่รายงานการจ้างงานเพิ่มขึ้น ข้อมูลนี้ชี้ว่าแม้เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่บริษัทต่าง ๆ ยังไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการขยายทีมงาน ซึ่งอาจสร้างความกังวลให้กับผู้กำหนดนโยบายที่ต้องรับมือกับแรงงานใหม่เข้าสู่ระบบหลายล้านคนในแต่ละปี

สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีทิศทางที่แตกต่างกัน แม้ต้นทุนการผลิตโดยรวมจะลดลง แต่ภาคการผลิตกลับปรับขึ้นราคาขายในอัตราที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 13 ปี โดยอ้างถึงต้นทุนวัตถุดิบอย่างฝ้ายและเหล็กกล้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดี การขึ้นราคานี้ถูกชดเชยด้วยราคาในภาคบริการที่ปรับขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง

เมื่อมองไปข้างหน้า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจกลับมาแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 7 เดือน โดยหลายบริษัทฝากความหวังไว้กับอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและแรงหนุนที่อาจมาจากการลดภาษีสินค้าและบริการ (GST)

ทั้งนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ที่เริ่มมีผลเมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาล แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะยังคงเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ก็ตาม โดยผู้ส่งออกระบุว่าผลกระทบเต็มรูปแบบจากภาษีที่สูงขึ้นจะเริ่มปรากฏชัดในเดือนนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจกรรมภาคเอกชนชะลอตัวลงไปอีก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ย. 68)