น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.58 รับสต็อกน้ำมันดิบลด แนวโน้มอุปทานตึงตัว

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันพุธ (24 ก.ย.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันลดลงอย่างเหนือความคาดหมาย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มอุปทานน้ำมันตึงตัว หลังจากมีรายงานว่ากองทัพของยูเครนได้โจมตีสถานีสูบน้ำมันในรัสเซีย

  • ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 2.49% ปิดที่ 64.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.68 ดอลลาร์ หรือ 2.48% ปิดที่ 69.31 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันเบรนท์ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. และสัญญาน้ำมัน WTI ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 607,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 235,000 บาร์เรล

ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล

ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า กองทัพของยูเครนได้โจมตีสถานีสูบน้ำมันสองแห่งในภูมิภาควอลโกกราดของรัสเซียเมื่อคืนที่ผ่านมา และมีการประกาศภาวะฉุกเฉินในเมืองโนโวรอสซีสค์ ซึ่งเป็นท่าเรือหลักของรัสเซียในทะเลดำ และเป็นที่ตั้งของสถานีส่งออกน้ำมันและธัญพืชที่สำคัญ

รัสเซียกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงบางประเภท เนื่องจากการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนทำให้การกลั่นน้ำมันลดลง หลังจากที่ยูเครนได้ยกระดับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของรัสเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดรายได้จากการส่งออกของรัสเซีย

ทั้งนี้ รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับสองของโลกในปี 2567 รองจากสหรัฐฯ และเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส

นอกจากนี้ มีรายงานว่าบริษัท Chevron ได้จำกัดการส่งออกน้ำมันจากเวเนซุเอลาเนื่องจากปัญหาใบอนุญาตของสหรัฐฯ ซึ่งข่าวดังกล่าวคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันในระยะสั้น

ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแม้จะมีรายงานว่า บริษัทน้ำมันระหว่างประเทศ 8 แห่งที่ดำเนินงานในภูมิภาคเคอร์ดิสถานของอิรักได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับรัฐบาลกลางของอิรักและรัฐบาลเคอร์ดิสถานเพื่อกลับมาส่งออกน้ำมันอีกครั้ง ทั้งนี้ ข้อมูลจากหน่วยงานด้านพลังงานของสหรัฐฯ ระบุว่า อิรักเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ของกลุ่มโอเปกในปี 2567

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 ก.ย. 68)