ดาต้าเซ็ตเผยเสียงโซเชียลส่วนใหญ่ต้องการให้โครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาอย่างชัดเจน โดยชาวเน็ตคาดหวังเรื่องวงเงินและระยะเวลาถึง 50% โดยอยากให้โครงการกลับมาพร้อมวงเงินที่เหมาะสมและไม่น้อยไปกว่าเฟสก่อน ๆ และยังมีเสียงเรียกร้องให้โครงการมีมีระยะยาวนานขึ้นหรือแบ่งเป็นหลายเฟสย่อย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง
บริษัท ดาต้าเซ็ต จำกัด ได้รวบรวมข้อมูลผ่านเครื่องมือ dxt:360 เพื่อฟังเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ (Social Listening) ในช่วงวันที่ 4 กันยายน – 21 กันยายน 2568 เพื่อถอดรหัสว่า ประชาชนอยากเห็นโครงการ “คนละครึ่ง” ในรูปแบบใดเมื่อมีการนำกลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งจะเผยให้เห็น Insight ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการพูดคุยในสังคมออนไลน์ ดังนี้
เสียงโซเชียลสะท้อน “คนละครึ่ง” ในมุมมองประชาชน
จากการรวบรวมข้อมูลบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย พบว่าเสียงส่วนใหญ่แสดงความต้องการให้โครงการกลับมาอย่างชัดเจน โดยมีข้อเสนอและความคาดหวังที่น่าสนใจใน 3 ประเด็นหลัก

1.วงเงินและระยะเวลา (50%)
• ประชาชนจำนวนมากคาดหวังว่าโครงการจะกลับมาพร้อมวงเงินที่เหมาะสมและไม่น้อยไปกว่าเฟสก่อน ๆ และมีการปรับเพิ่มวงเงินการใช้จ่ายในแต่ละวัน เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพในปัจจุบัน
• นอกจากจำนวนเงินแล้ว ประเด็นเรื่อง ระยะเวลาและความต่อเนื่อง ก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยมีเสียงเรียกร้องให้โครงการมีระยะยาวนานขึ้นหรือแบ่งเป็นหลายเฟสย่อย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างต่อเนื่อง
2.เงื่อนไขและการลงทะเบียน (40%)
• ไม่ควรให้สิทธิ์ซ้ำกับผู้ที่เคยได้รับ “เงินหมื่นดิจิทัล” มีเสียงเสนอว่า ผู้ที่เคยได้รับสิทธิโครงการ “เงินหมื่นดิจิทัล” ไปแล้วไม่ควรได้รับสิทธิคนละครึ่งซ้ำอีก โดยให้เหตุผลว่า ควรกระจายความช่วยเหลือให้กับผู้ที่ยังไม่เคยได้รับโอกาส เพื่อไม่ให้งบประมาณของประเทศไปกระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มเดิม
• ไม่ควรตัดสิทธิ์ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) เนื่องจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการ “แบ่งแยกประชาชน” และ “ซ้ำเติมกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุด” ในสังคม กลุ่มที่มีความเห็นนี้จึงเสนอให้คนไทยทุกคนได้รับสิทธิ์อย่างเท่าเทียมกัน
• ควรใช้แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ที่มีอยู่แล้ว เป็นข้อเสนอที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องเสียเงินไปกับการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ที่ซ้ำซ้อน และประชาชนส่วนใหญ่คุ้นเคยกับระบบเดิมอยู่แล้ว
3.ร้านค้าและผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วม (10%)
• ประชาชนส่วนหนึ่งเห็นด้วยกับการจำกัดการใช้จ่ายเฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก หรือร้านหาบเร่แผงลอยที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง เพื่อให้เม็ดเงินกระจายไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างทั่วถึง และไม่กระจุกตัวอยู่กับร้านสะดวกซื้อหรือนายทุนรายใหญ่
• มีเสียงเสนอให้เพิ่มเงื่อนไขเพื่อส่งเสริมการซื้อสินค้าที่ผลิตโดยคนไทย (Made in Thailand) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นน้ำและช่วยเหลือเกษตรกรหรือผู้ผลิตในประเทศโดยตรง
ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อพูดถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ชื่อของ คนละครึ่ง มักจะถูกนำมาเปรียบเทียบกับ เงินหมื่นดิจิทัล อยู่เสมอจากการวิเคราะห์บทสนทนาพบว่า สามารถแบ่งกลุ่มประชาชนออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ซึ่งเผยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนว่า นโยบายไหนครองใจคนไทยมากกว่ากัน

1. ทีม “คนละครึ่ง” (60%)
ประชาชนส่วนใหญ่ในสังคมออนไลน์เห็นว่าโครงการ คนละครึ่ง มีความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพมากกว่าโครงการเงินหมื่นดิจิทัล โดยอิงจากประสบการณ์ตรงที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ มุมมองของคนกลุ่มนี้เชื่อว่าคนละครึ่งเป็นโครงการที่จับต้องได้และเห็นผลชัดเจน โดยเสียงสะท้อนส่วนใหญ่ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “คนละครึ่ง” สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และทำให้เงินหมุนเวียนไปยังร้านค้ารายย่อยได้จริง
2. ทีม “เงินหมื่นดิจิทัล” (22%)
เป็นกลุ่มประชาชนส่วนหนึ่งที่ยังคงชื่นชอบและต้องการโครงการในรูปแบบ “เงินหมื่นดิจิทัล” มากกว่า “คนละครึ่ง” ความเห็นที่ปรากฏในกลุ่มนี้ยังคงเชื่อว่าการได้รับเงินก้อนจำนวนหนึ่งหมื่นบาทตรงกับความต้องการมากกว่า เพราะสามารถนำไปใช้กับภาระหนี้สินหรือซื้อของชิ้นใหญ่ที่จำเป็น หรือสามารถใช้เป็นทุนหมุนเวียนได้ในยามจำเป็น ขณะที่โครงการคนละครึ่งมีข้อจำกัดในการใช้จ่ายแต่ละครั้ง
ทั้งนี้ มุมมองดังกล่าวสะท้อนความต้องการของประชาชนจำนวนหนึ่งในสังคมออนไลน์ที่มองว่ารูปแบบการได้รับเงินสดจำนวนมากตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ดีกว่า
3. ทีมไม่เชื่อมั่นนโยบายรัฐ (18%)
ความเห็นในกลุ่มนี้สะท้อนถึงความผิดหวังและสูญเสียความไว้วางใจต่อนโยบายภาครัฐ โดยอ้างอิงถึงนโยบายหลายอย่างที่เคยประกาศไว้แต่ยังไม่เป็นจริงหรือประสบปัญหาในการดำเนินการ เช่น โครงการเงินหมื่นดิจิทัล โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นต้น กลุ่มนี้จึงมองว่าไม่ว่าจะเป็นโครงการใดก็ตาม โอกาสที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์จริงยังคงไม่แน่นอน ซึ่งเป็นการแสดงความรู้สึกจากประสบการณ์เกี่ยวกับนโยบายที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
เสียงแตก! ประเด็นสัดส่วนร่วมจ่าย ใครควรได้สิทธิพิเศษ?
จากการติดตามบทสนทนาออนไลน์ พบว่าหนึ่งในประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างร้อนแรง คือแนวคิดการปรับสัดส่วนการร่วมจ่าย โดยมีข้อเสนอให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา รัฐ 60 : ประชาชน 40 เทียบกับประชาชนทั่วไปที่เป็น 50:50 ซึ่งความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝั่ง

ฝั่งสนับสนุน: การวิเคราะห์บทสนทนาออนไลน์ พบว่ามีกลุ่มหนึ่งที่แสดงความเข้าใจและยอมรับแนวคิดการให้สิทธิพิเศษแก่ผู้เสียภาษี กลุ่มนี้มองว่าการปรับสัดส่วนการร่วมจ่ายนั้น มีความสมเหตุสมผล เป็นการตอบแทนพลเมืองที่ปฏิบัติหน้าที่เสียภาษีอย่างครบถ้วน และอาจเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น
ฝั่งคัดค้าน: ในการทางกลับกัน มีกลุ่มหนึ่งที่แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน โดยมองว่า หลักการสำคัญของโครงการคนละครึ่งคือ “ความเท่าเทียม” และสิทธิประโยชน์ควรเป็น 50:50 เหมือนเดิมสำหรับทุกคน กลุ่มนี้เห็นว่าการสร้างเงื่อนไขใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์แตกต่างกันนั้นไม่ต่างอะไรกับการ “แบ่งแยกชนชั้น” และสร้างความซับซ้อนโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์เสียงสะท้อนบนสื่อสังคมออนไลน์ จะเห็นได้ว่า “คนละครึ่ง” ยังคงเป็นโครงการที่อยู่ในใจและมีความคาดหวังจากประชาชนต่อการกลับมาในปี 2568 โดยบทสนทนาในโลกออนไลน์สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการให้มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความเท่าเทียมและเหมาะสมกับทุกกลุ่ม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ก.ย. 68)