
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องเป็นวันที่สองในวันพฤหัสบดี (2 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับชิป ขณะเดียวกันความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ยังช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนด้วย
- ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 567.60 จุด เพิ่มขึ้น 2.98 จุด หรือ +0.53%
- ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,056.63 จุด เพิ่มขึ้น 89.68 จุด หรือ +1.13%,
- ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,422.56 จุด เพิ่มขึ้น 308.94 จุด หรือ +1.28% และ
- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,427.73 จุด ลดลง 18.70 จุด หรือ -0.20%
ดัชนี STOXX 600 ปิดบวกทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังจากระหว่างวันก็แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ในภูมิภาคปรับตัวขึ้น นำโดยตลาดหุ้นเยอรมนี
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 1.5% โดยหุ้น Siemens พุ่งขึ้น 4.2% และหุ้น Schneider พุ่งขึ้น 2.3% ซึ่งเป็นแรงหนุนหลักต่อดัชนี ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่ง 2.3% ตามการฟื้นตัวของหุ้นชิปทั่วโลก
ความเชื่อมั่นยังได้แรงหนุนหลังจาก Samsung Electronics และ SK Hynix ของเกาหลีใต้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงเพื่อจัดหาชิปหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลของ OpenAI
หุ้น ASML พุ่งขึ้น 4.3% และหุ้น ASMI พุ่ง 6.5% ส่งผลให้ดัชนีหลักของตลาดหุ้นเนเธอร์แลนด์ทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกัน
นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า มีโอกาสที่การปรับขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีจะดำเนินต่อไป
หุ้นกลุ่มยานยนต์พุ่งขึ้น 2.4% โดยได้แรงหนุนจากหุ้น Stellantis ที่พุ่งขึ้น 8.3% หลังข้อมูลตลาดบ่งชี้ว่า ยอดขายรถใหม่ของกลุ่มปรับตัวดีขึ้นในอิตาลีและสหรัฐฯ ด้านหุ้น Ferrari พุ่ง 2.7% หลัง HSBC ปรับคำแนะนำขึ้นจากถือเป็นซื้อ
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์บวกต่อเนื่องจากวันพุธ หลังจากข้อตกลงระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับบริษัท Pfizer เรื่องราคายาเมื่อวันอังคารช่วยลดความไม่แน่นอนบางส่วนในภาคธุรกิจนี้
บรรดานักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าของปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้การเผยแพร่ข้อมูลการจ้างงานสำคัญในวันศุกร์ล่าช้า และเพิ่มความไม่แน่นอนต่อความสามารถของเฟดในการประเมินภาวะเศรษฐกิจ
แนวโน้มที่เฟดจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นแรงผลักดันล่าสุดให้กับตลาดหุ้นยุโรป โดยกลุ่มธนาคารและอุตสาหกรรมยังคงเป็นกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีในปีนี้ การเปิดเผยรายงานการจ้างงานภาคเอกชนที่อ่อนแอเมื่อวันพุธทำให้นักลงทุนประเมินโอกาสที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนต.ค. อยู่ที่ 99% เพิ่มจากเกือบ 86% เมื่อสัปดาห์ก่อน ตามข้อมูลจาก CME FedWatch Tool
ดัชนี STOXX ปรับขึ้นแล้วกว่า 11% แต่ยังตามหลังดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ซึ่งทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกันและเพิ่มขึ้นแล้ว 14% นับตั้งแต่ต้นปี
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Experian ร่วง 4.2% หลังจาก FICO ประกาศเปิดตัวโครงการใบอนุญาตตรงเพื่อลดต้นทุนด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่หุ้น Tesco พุ่ง 5.3% หลังซูเปอร์มาร์เก็ตอังกฤษรายนี้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี ส่วนหุ้น Thyssenkrupp ร่วง 4.1% หลังมหาเศรษฐีเช็ก ดาเนียล เครตินสกี ตกลงขายหุ้น 20% ในธุรกิจเหล็กของบริษัท และยกเลิกแผนการร่วมทุนในธุรกิจดังกล่าว
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 ต.ค. 68)