
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมทำประชามติเรื่องยกเลิก MOU 43-44 หรือไม่ ว่า ผลสำรวจของนิด้าโพลได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ประชาชนราว 70% มีความไม่เข้าใจกับค่อนข้างไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่เกี่ยวกับเนื้อหารายละเอียดของ MOU ฉบับดังกล่าว
สิ่งที่จะทำให้ประชามติเป็นกระบวนการสะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริง ๆ คือออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียง โดยมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างดีเพียงพอระดับหนึ่ง สิ่งสำคัญมากกว่าวันเข้าคูหากาลงคะแนนเสียงทำประชามติคือเรื่องของกระบวนการ เพราะเรื่อง MOU เป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน ตนไม่เชื่อว่าจะสามารถจัดเวทีสาธารณะให้ความรู้แก่ประชาชนได้อย่างรอบด้าน ยังมีบางเรื่องที่ขนาดประชุมกันในรัฐสภายังขอประชุมลับ เพราะบางอย่างหากพูดออกไปอาจทำให้ประชาชนเสียเปรียบ แล้วลองนึกภาพว่าในสังคมมีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง ทำให้ไม่สามารถให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้าน จึงมีข้อห่วงใยว่า การทำประชามติแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่ผลที่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พรรคประชาชนได้เสนอให้รัฐบาลทบทวนมาโดยตลอดทุกครั้งที่มีโอกาสตอบคำถามสื่อมวลชน และเชื่อว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เอง นอกจากทราบจากตนแล้วก็น่าจะทราบจากนักวิชาการ และเสียงสะท้อนจากสังคม ตอนนี้เห็นว่ามีโพลบางส่วนที่ทำในโลกออนไลน์ จะเห็นว่าประชาชนบางส่วนอยากมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น หรือบางส่วนไม่เห็นด้วยที่จะเอาเรื่องนี้มาทำประชามติ
“จริง ๆ ควรเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหาร รัฐบาลไม่ควรโยนการตัดสินใจนี้ให้เป็นภาระของประชาชน จริง ๆ เป็นหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยตรงที่ประชาชนมอบความไว้วางใจไป ในการตัดสินใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ในเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน เรื่องความมั่นคงแบบนี้ รัฐบาลจะทำอย่างไร ก็แสดงความรับผิดรับชอบ ตัดสิน และทำเองได้เลย” นายณัฐพงษ์ กล่าว
การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีบัตรอย่างน้อย 2 ใบ คือ สส.เขต และ สส.บัญชีรายชื่อ อีกทั้งเรื่องการจัดทำประชามติที่มี 2 คำถาม ดังนั้นการเสนอมาอีกในเรื่องประชามติ MOU ตนมีข้อห่วงใยว่าอาจเพิ่มภาระประชาชนในการออกเสียง ที่ต้องทำความเข้าใจเรื่องละเอียดซับซ้อนหลายเรื่อง จึงต้องให้สังคมช่วยกันวิเคราะห์ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะอย่างไร และเป็นข้อเสนอที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองอย่างไรหรือไม่ ในการโยนข้อเสนอนี้ออกมา ทั้งที่นายอนุทินก็รู้ดีว่าอีก 4 เดือนต้องยุบสภา มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติไปถึงการทำประชามติ เราคงส่งเสียงเรียกร้องว่า เราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการการจัดทำประชามติที่ให้ประชาชนแสดงความเห็นหรือรับรู้ข้อมูลได้ทั้ง 2 ด้าน ดังนั้นเราคงไม่เห็นด้วยกับหลักการที่จะนำเรื่องนี้มาทำประชามติ แต่การบอกแบบนี้ต้องบอกว่า พรรคประชาชนเคารพในการให้เสียงประชาชนเป็นใหญ่ ถ้ามีการจัดทำประชามติผลออกมาอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือกระบวนการ หากส่งเสียงคัดค้านแล้วรัฐบาลเดินหน้าต่อก็เป็นหน้าที่พรรคประชาชน และทุกพรรคการเมืองที่ต้องรณรงค์ให้มากที่สุด ต้องหาวิธีอธิบายเรื่องละเอียดซับซ้อนให้ดีที่สุด
การทำประชามติเป็นเรื่องรายละเอียดทางเทคนิค “ถ้าเราบอกว่าจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ เราคงไม่สามารถสร้างได้โดยการยกมือโหวตทุกคน สุดท้ายต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์มาคิดวิเคราะห์เรื่องหลักการและเหตุผล” เช่นเดียวกับเรื่องนี้มีรายละเอียดเชิงเทคนิคเยอะ สิ่งที่จะทำให้แก้ปัญหาไทย-กัมพูชาได้สำเร็จอาจไม่ใช่เรื่องที่ให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไม่มีความรู้ทางเทคนิคที่สมบูรณ์เท่านักการทูต หน่วยงานความมั่นคง หรือฝ่ายบริหาร ตนคาดหวังว่า รัฐบาลควรจะออกแบบกระบวนการดี ๆ และเลือกใช้กระบวนการที่ถูกต้อง ในการตัดสินใจเรื่องละเอียดอ่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ต.ค. 68)