ThaiBMA ชี้ 9 เดือนหุ้นกู้เอกชนลดลง 9% แต่ Q3-Q4 เร่งตัวคาดหวังเศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยขาลง

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงมีอัตราการขยายตัวในระดับต่ำต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยในปี 2568 อัตราการขยายตัวมีแนวโน้มชะลอตัวมากขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐที่ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศและความขัดแย้งทางชายแดนกับประเทศกัมพูชา ส่งผลให้การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนในช่วง 3/68 ลดลง 9.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า

โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 (ม.ค.-ก.ย.) มูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) เท่ากับ 640,002 ล้านบาท ลดลง 9.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มี 704,153 ล้านบาท เป็นอัตราการปรับลดลงที่ต่ำกว่าเมื่อตอนไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จากการที่ผู้ออกในกลุ่ม Investment grade เพิ่มการออกขึ้นมากในไตรมาส 3

สำหรับภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยขยายตัว 3.5% จากสิ้นปี 2567 โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/68 มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 17.7 ล้านล้านบาท (คิดเป็น 95% ของ GDP) เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีที่แล้ว เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของตราสารหนี้ภาครัฐเป็นหลัก ในขณะที่มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ 52% เป็นพันธบัตรรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย ส่วน 26% เป็นตราสารหนี้ภาคเอกชน

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ThaiBMA คาดว่าในปี 2568 หุ้นกู้เอกชนน่าจะมีการออกใหม่ราว 8 แสนล้านบาทตามที่ได้ปรับประมาณการแล้ว โดยคาดว่าในไตรมาส 4/68 จะมีการออกหุ้นกู้ทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในไตรมาส 4/68 ทีมีการครบกำหนด 218,777 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นกู้ระดับ Investment Grad 194,397 ล้านบาท อาทิ CRC , LH , CPAXT, CPF ,PTT, BCP เป็นต้น ส่วน High yield มีมูลค่า 24,381 ล้านบาท

ทั้งนี้ในช่วง 1-3 ต.ค. มีมูลค่าหุ้นกู้ออกใหม่ 7.5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในเดือนต.ค.มูลค่าหุ้นกู้ออกใหม่น่าจะใกล้ 1 แสนล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 2/68 มีมูลค่าการออกหุ้นกู้ต่ำมาก มูลค่า 195,334 ล้านบาท แต่ก็มีการเร่งตัวในไตรมาส 3 มูลค่าที่ออกใหม่ 241,182 ล้านบาท

นางสาวอริยา กล่าวว่า บริษัทเลือกจังหวะออกหุ้นกู้ในไตรมาส 4 รับ Sentiment บวก จากความคาดหวังเศรษฐกิจหลังมีรัฐบาลใหม่ และดอกเบี้ยปรับลดลง

ทั้งนี้ มูลค่าคงค้างตราสารหนี้เอกชนระยะยาว ณ สิ้นไตรมาส 3/68 มีมูลค่า 4.32 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มพลังงานมีมูลค่าคงค้างหุ้นกู้ระยะยาวสูงที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก และอาหาร ตามลำดับ

Bond Yield ย่อลงจากดอกเบี้ยขาลง

นายสมจินต์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทย 29,038 ล้านบาท ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 โดยเป็นการซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยในไตรมาส 1 และ 2 จำนวน 32,329 ล้านบาท รวมกับการขายสุทธิ 3,291 ล้านบาทในไตรมาส 3 ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 นักลงทุนต่างชาติมีการถือครองตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 8.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครองมีอายุคงเหลือเฉลี่ย 7.9 ปี ลดลงจาก 8.7 ปี เมื่อสิ้นปี 2567

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) ปรับตัวลดลงทั้งเส้นในทิศทางเดียวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2568 รวม 3 ครั้ง 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 1.50% ส่งผลให้ Bond yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี 5 ปี และ10 ปี ปรับตัวลดลง 86-88 bps. จากสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ระดับ 1.16%, 1.22% และ 1.42% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล: ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้รุ่นอายุ 5 ปี ของหุ้นกู้กลุ่ม AAA AA A และ BBB+ ปรับตัวลดลง 72-110 bps. มาอยู่ที่ระดับ 1.71% 2.17% 2.55% และ 3.92% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568

นายสมจินต์ กล่าวว่า จากผลสำรวจจากผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายราว 1-2 ครั้ง รวม 0.25-0.50% ลงมาอยู่ที่ 1.00-1.25% จากปัจจุบันที่ 1.50% สำหรับการคาดการณ์ Bond yield ไทย ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า ปลายปี 2568 Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะขยับตัวลดลงเฉลี่ยราว 10-15 bps. จากสิ้นไตรมาส 3 โดยมีปัจจัยหลักจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย และแผนการระดมทุนของภาครัฐ

ขณะที่ดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้ น่าจะปรับลง 2 ครั้ง ในการประชุม 26 ต.ค. จะปรับลง 0.25% และใน 10 ธ.ค.68 ปรับลดอีก 0.25% มาอยู่ที่ 3.50-3.75% จากปัจจุบัน 4.00-4.25%

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 ต.ค. 68)