
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการดูแลค่าเงินบาทว่า ปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้น 4.5% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งการแข็งค่าในปัจจุบันไม่มากเท่ากับในช่วงก่อน โดยค่าเงินของหลายประเทศในอาเซียนแข็งค่ามากกว่าค่าเงินบาทของไทยแล้ว ซึ่งการปรับขึ้นลงของค่าเงินบาทมาจากทิศทางของดอลลาร์สหรัฐ และ flow
ทั้งนี้ธปท.ได้ติดตามสถานการณ์เงินบาทร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อดูการเคลื่อนไหวของเงินที่น่าสงสัยและอาจจะเข้ามาทำให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งต้องพยายามค้นหาให้เจอเพราะบางธุรกรรมไม่ได้อยู่บนโต๊ะเสมอไป
“ผมให้ความสำคัญกับเงินบาทต้องอยู่ในจุดที่เหมาะสมตามพื้นฐานบางทีก็เป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก อะไรที่ไม่ถูกต้องต้องสกัดเพื่อไม่ให้ประเทศเสียหาย” นายวิทัย กล่าว
นายวิทัย กล่าวถึงแนวคิดเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งว่า ไม่มีแนวคิดที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ และมองว่าในปัจจุบัน ธปท.นำเงินจากกองทุนสำรองระหว่างประเทศไปบริหารจัดการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ด้วยการจัดสัดส่วนการลงทุนไว้ได้เป็นอย่างดี และมีผลตอบแทนที่ดีมากอยู่แล้ว
อีกทั้งยังไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่มีการเสนอว่าตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่าหรือช่วยทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง
“ยังไม่มีแนวคิดเรื่องนี้อนาคตถ้าจะดูก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ผมไม่คิดจะทำเลยถ้าถามตอนนี้ไม่มีอยู่ในความคิด” นายวิทัย กล่าว
ส่วนเรื่องการซื้อขายทองคำที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นอีกสาเหตุของการแข็งค่าของเงินบาทนั้น ผู้ว่า ธปท.ยอมรับว่าทองคำอาจจะเป็นส่วนเสริมที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น แต่เป็นเฉพาะทองคำที่มีการซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันในรูปเงินของบาทเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายของรายย่อยตามร้านทองทั่วไป ซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างหารือกับกระทรวงการคลังและร้านค้าทองว่าจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการเพื่อเข้ามาดูแลการซื้อขายในส่วนนี้หรือไม่ ถ้าจำเป็นก็ต้องเร่งหาข้อสรุปว่าควรจะดำเนินการอย่างไร
“ถ้าไม่จำเป็นเราก็ไม่อยากจะมีมาตรการอะไรออกมา แต่ถ้าจำเป็นเราก็จะไปหารือกับกระทรวงการคลังเพราะเรื่องนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวัง” นายวิทัย ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 ต.ค. 68)