
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงมากกว่า 2 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือกว่า 4% ในวันศุกร์ (10 ต.ค.) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ส่งผลให้ตลาดกังวลต่อแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันท่ามกลางภาวะอุปทานล้นตลาด
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 2.61 ดอลลาร์ หรือ 4.24% ปิดที่ 58.90 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ค.
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.49 ดอลลาร์ หรือ 3.82% ปิดที่ 62.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.
นักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่า การเทขายน้ำมันเกิดจากบรรยากาศการลงทุนที่เปลี่ยนเป็นการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง หลังทรัมป์โพสต์ข้อความขู่ว่าจะเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มขึ้น
นักวิเคราะห์อีกรายให้ความเห็นว่า การร่วงลงของราคาน้ำมันในวันศุกร์เป็นผลจากหลายปัจจัย โดยการขู่ขึ้นภาษีจีนของทรัมป์เป็นเพียงปัจจัยล่าสุด เขาระบุว่า การเพิ่มกำลังการผลิตจากกลุ่มโอเปก รวมถึงการผลิตที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือและใต้ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลงหลังมีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมผลกระทบจากการประกาศของทรัมป์เกี่ยวกับการเก็บภาษีจากจีน
ทรัมป์ซึ่งมีกำหนดจะพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในอีกประมาณ 3 สัปดาห์ที่เกาหลีใต้ แสดงความไม่พอใจผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยกล่าวหาว่า จีนพยายามจับเศรษฐกิจโลกเป็นตัวประกัน หลังจากจีนขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายากอย่างกะทันหันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (9 ต.ค.) โดยจีนเป็นผู้ครองตลาดโลกของแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตสินค้าเทคโนโลยี
นอกจากขู่ว่าจะยกเลิกการพบปะกับสีแล้ว ทรัมป์ยังระบุว่าอาจขึ้นภาษีสินค้าจีนในสัดส่วนที่สูงมาก
ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาสในฉนวนกาซา ซึ่งเป็นส่วนแรกของแผนสันติภาพที่ทรัมป์ผลักดันนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี และได้รับการรับรองจากรัฐบาลอิสราเอลในวันศุกร์ โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายจะยุติการสู้รบ อิสราเอลจะถอนทัพบางส่วนออกจากกาซา และฮามาสจะปล่อยตัวเชลยศึกทั้งหมดที่ถูกจับในเหตุโจมตีซึ่งเป็นชนวนสงคราม แลกกับการปล่อยตัวนักโทษหลายร้อยคนที่อิสราเอลควบคุมไว้
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ข้อตกลงหยุดยิงในกาซาทำให้ตลาดกลับมาให้ความสำคัญกับภาวะน้ำมันล้นตลาดอีกครั้ง เนื่องจากโอเปกเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการลดกำลังการผลิต ขณะที่การปรับเพิ่มกำลังผลิตในเดือนพ.ย. ที่ต่ำกว่าคาดของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรหรือโอเปกพลัสเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้ช่วยบรรเทาความกังวลเรื่องอุปทานส่วนเกินบางส่วน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้ออาจกระทบเศรษฐกิจและลดความต้องการใช้น้ำมันในประเทศซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ต.ค. 68)