
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (10 ต.ค.) และยืนเหนือระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้เป็นครั้งที่สองของสัปดาห์นี้ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่า อาจเก็บภาษีสินค้าจีนรอบใหม่
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 27.80 ดอลลาร์ หรือ 0.70% ปิดที่ 4,000.40 ดอลลาร์/ออนซ์
ทรัมป์ระบุในวันศุกร์ว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในอีกสองสัปดาห์ที่เกาหลีใต้ตามแผนเดิม พร้อมเผยว่าสหรัฐฯ กำลังพิจารณาการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในสัดส่วนมหาศาล โดยเขาโพสต์ข้อความดังกล่าวบน Truth Social
ภายหลังข่าวดังกล่าว ทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดของวันที่ 4,022.52 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์อีกครั้ง
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า การที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มร้อนแรงขึ้นอีกครั้งจะกดดันค่าเงินดอลลาร์ และเป็นผลดีต่อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วงลง 0.5% ทำให้ราคาทองคำซึ่งซื้อขายด้วยสกุลดอลลาร์มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนต่างประเทศ
ตลาดยังคงติดตามความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองในฝรั่งเศสที่อาจนำไปสู่การล่มสลายของรัฐบาล รวมถึงภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังดำเนินอยู่
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ทั้งในเดือนต.ค. และธ.ค.
ทองคำซึ่งไม่ให้ผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย และเพิ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 4,059.05 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันพุธ (8 ต.ค.) ยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนในตลาด
แรงหนุนต่อราคาทองคำนั้นมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, การเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลาง, การไหลเข้าของเงินทุนสู่กองทุน ETF ทองคำ, ความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษี
นักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics กล่าวว่า ราคาทองคำอาจมีการปรับฐานในระยะสั้น หลังจากที่พุ่งขึ้นรวดเร็วในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ในระยะ 2 ปีข้างหน้านั้น ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ต.ค. 68)