CONSENSUS: PTT อัพไซด์เปิดจากแปลงสินทรัพย์ดันกำไร-ปันผลสูง-ต้นทุนก๊าซลดหนุน EBITDA แกร่ง

โบรกเกอร์เชียร์ “ซื้อ” หุ้น บมจ.ปตท [PTT] จากการที่บริษัทลูกในกลุ่มแปลงสินทรัพย์เป็นเงินเสริมความแข็งแรงและช่วยดันราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น อาทิ บมจ.ไทยออยล์ [TOP], บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล [PTTGC] ส่งผลดีต่อ PTT ได้วย ด้วยการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ภายใต้ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล (PTT Tank) เพื่อรับซื้อและเช้าสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน เป็น Upside ต่อกำไรสุทธิของ PTT ปี 69 จะอยู่ที่ 650-1,000 ล้านบาท ส่งผลให้ราคาหุ้นมีอัพไซด์ โบรกเกอร์ปรับราคาเป้าหมายขึ้น

ขณะเดียวกัน PTT ยังเดินหน้าเสาะหาพันธมิตรใหม่ภายใต้ โครงการ Genesis ในธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี

นอกจากนี้ เงินปันผลของ PTT ยังน่าจูงใจ โดยมี Dividend Yield เฉลี่ย 6% ต่อปี หรือปีละประมาณ 2 บาท/หุ้น ด้วยกำไรสุทธิของ PTT ในระดับ 9 หมื่นล้านบาท

ราคา PTT ปิดช่วงเช้าที่ 31.25 บาท ลดลง 0.25 บาท (-0.79%)

นายจักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น PTT ราคาเป้าหมาย 34.10 บาทถึงกลางปีหน้า ซึ่งปรับเพิ่มเป้าเดิม 33.80 บาท จากปัจจัยบวกที่ผลประกอบการของ PTT ค่อนข้างมีความผันผวนน้อย ธุรกิจของกลุ่มมีซัพพลายเชนเดียวกันที่สามารถชดเชยกันได้

ในปี 68 คาดกำไรสุทธิ 91,110 ล้านบาทใกล้เคียงปี 67 ที่มีกำไรสุทธิ 90,072 ล้านบาท และมีการจ่ายเงินปันผลค่อนข้างสูง จากกำไรนิ่ง โดยผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ย 6% สามารถทำให้ผู้ถือหุ้นซื้อถือรับเงินปันผลได้รับสม่ำเสมอ ในปี 67 มี Divided Yield 6.61% และปี 68 คาด Dividend Yield 6.32%

นอกจากนี้หุ้น PTT ยังมีอัพไซด์จากการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินของกลุ่ม PTT ซึ่งจะทำให้บริษัทลูกแข็งแรง แม้ว่าในระยะสั้นผลประโยชน์มีจำกัด โดยจะจัดตั้งเป็นบริษัทย่อยใหม่เพื่อรับซื้อและเข้าสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้มี Upside ต่อกำไรสุทธิของ PTT ปี 69 จะอยู่ที่ 650-1,000 ล้านบาท และไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่องบดุลของ PTT

เพื่อสะท้อนการปรับเพิ่มราคาเป้าหมายก่อนหน้านี้สำหรับ TOP, PTTGC, IRPC, GPSC โดยเชื่อว่ากำไร PTT ที่แข็งแกร่งและอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงจะช่วยหนุนโมเมมตัมของราคาหุ้นได้ โดยมี Upside เพิ่มเติมจากการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินเพิ่มเติม และโครงการ Genesis (พันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายใหม่)

 บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ระบุว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ย.68 PTT จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ภายใต้บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล (PTT Tank) โดย PTT ถือหุ้น 100% เพื่อทำสัญญาเช่าและซื้อสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานกับ บมจ.ไทยออยล์ [TOP], บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล [PTTGC] ขณะที่ประเมินว่ากำไรสุทธิที่จะเพิ่มขึ้นจากการทำธุรกรรมดังกล่าว น่าจะไม่ถึง 1%ของกำไรสุทธิในปี 69 ของ PTT

ส่วน PTT มีแผนจะทำให้สินทรัพย์ของ “บริษัทย่อยใหม่” เกิดประโยชน์สูงสุดในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นการขาย หรือหาพันธมิตรใหม่ เพื่อทำให้ PTT มีเงินทุนเพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนในโครงการอื่น อีกด้านหนึ่ง แผน Asset monetisation ของ บมจ.ไออาร์พีซี [IRPC] ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบสถานะ (due diligence) และบริษัทไม่แน่ใจว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ เพราะโครงสร้างสินทรัพย์มีความซับซ้อน

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า PTT กล่าวในการประชุมนักวิเคราะห์ทางโทรศัพท์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า โครงการ”Genesis” (การหาพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ให้กับบริษัทย่อยในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น) จะดำเนินการโดยให้บริษัทย่อยออกหุ้นสามัญใหม่ อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์ของฝ่ายวิเคราะห์ฯชี้ว่า PTTGC ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน ยกเว้นว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในระยะตกต่ำนานกว่าที่คาดการณ์ ส่วน TOP อาจต้องเพิ่มทุนหากโครงการพลังงานสะอาด (CFP) หรือหน่วย RHCU (residue hydrocracking unit) ไม่สามารถเปิดดำเนินงานอย่างราบรื่นภายในปี 71

แม้ว่าการเพิ่มทุนจะช่วยลดหนี้สินและภาระดอกเบี้ยให้กับ PTTGC และ TOP แต่ผู้ถือหุ้นในปัจจุบันทั้ง PTT และผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจะได้รับผลกระทบจาก EPS dilution หลังธุรกรรมดังกล่าว สำหรับ IRPC ผู้ถือหุ้นไม่มีความเสี่ยงจาก EPS dilution เพราะบริษัทน่าจะขาดทุนต่อเนื่องอีก 2-3 ปี เชื่อว่า IRPC อาจหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนได้ยาก เนื่องโรงงานของบริษัทใช้งานมานาน

ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ปรับประมาณการ EPS ของ PTT ลง 2.6-5.2% ในปี 68-70 หลังปรับสมมติฐานสเปรดของธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเล็กน้อยเป็น 37.50 บาท จาก 36.50 บาท สะท้อนการประเมินมูลค่าที่สูงขึ้นของบริษัทย่อย ทั้งนี้ มองว่าโครงการ Genesis อาจทำให้ PTT และผู้ถือหุ้นเดิมได้รับผลกระทบจาก EPS dilution หากพันธมิตรใหม่ไม่สามารถสร้าง synergy ด้านการดำเนินงาน แต่ยังแนะนำ “ซื้อ” PTT เนื่องจากต้นทุน pool gas ที่ลดลงน่าจะช่วยหนุน EBITDA ของกลุ่มธุรกิจก๊าซ

นอกจากนี้คาดว่า PTT จะยังคงจ่ายเงินปันผล 2 บาท/หุ้น/ปีในช่วงปี 68-70 หรือยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจที่ 6% ราคาหุ้นของ PTT อาจมีปัจจัยหนุนหากต้นทุนก๊าซนำเข้าต่ำกว่าคาด ส่วน downside risk จะมาจากการที่ความต้องการก๊าซในประเทศและอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงแยกก๊าซต่ำกว่าที่คาดการณ์

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า ในไตรมาส 3/68 PTT แม้อุปสงค์ก๊าซภาคผลิตไฟฟ้าจะชะลอตามฤดูกาลและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ลดลงแต่คาดผลประกอบการจะประคองตัว QoQ ได้แรงหนุนจากต้นทุนก๊าซลดลง, ขาดทุน Mark-to-market ในธุรกิจ Trading ลดลง, ขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลงและการบันทึกกำไรประเมินมูลค่ายุติธรรม (FV) หลังเปลี่ยนสถานะเงินลงทุนเพื่อเตรียมจำหน่ายหุ้น Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) (จดทะเบียนในตลาดหุ้นไต้หวัน) ไม่เกิน 2% อีกราว 8 พันล้านบาท

แม้ภาวะอุตสาหกรรมพลังงานยังไม่เข้าสู่ช่วงสดใสแต่คาดแนวโน้มกำไรปี 68-69 จะสามารถรักษาระดับได้ดีหนุนจากโครงสร้างธุรกิจกระจายตัวครบวงจรและอานิสงส์กลยุทธ์การบริหารจัดการภายในเช่นเพิ่มประสิทธิภาพ, มุ่งเน้นจำหน่ายในประเทศ, ใช้Digitalization, ควบคุมค่าใช้จ่าย, การหาพันธมิตรใหม่ในธุรกิจปลายน้ำเพิ่มความสามารถแข่งขัน, ลดภาระหนี้สินรวมทั้งโครงการAsset monetization ช่วยปลดล็อกมูลค่าสินทรัพย์และมีโอกาสรับรู้กeไรพิเศษซึ่งถือเป็น Upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการ

ส่วนความคืบหน้าปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนก๊าซ Pool Gas (คาดมีความชัดเจนภายในปี 69) จะช่วยบรรเทาผลกระทบต้นทุนของธุรกิจโรงแยกก๊าซจากรูปแบบ Single Pool ในปัจจุบัน

เราชอบ PTT จากเสถียรภาพของกำไร, การจ่ายเงินปันผล, ฐานะการเงินมั่นคงกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมสะท้อนโครงสร้างธุรกิจบูรณาการครบวงจรโดยที่ผ่านมาท่ามกลางแพร่ระบาด COVID ปี 2020 และ Shale Oil ปี 2014 –2015 บริษัทฯสามารถสร้างกำไรเป็นบวกได้ตลอดและจ่ายเงินปันผลอย่างสม่าเสมอที่ 1.00-2.10 บาท/หุ้น

สำหรับจำนวนหุ้นซื้อคืนทั้งสิ้น 238,660,400 หุ้น คิดเป็น 0.84% ของจำนวนหุ้นที่ชำระแล้ว และ 50.78% ของจำนวนหุ้นซื้อคืนสูงสุดตามโครงการ 470 ล้านหุ้น มูลค่ารวมที่ซื้อคืน 7.55 พันล้านบาท คิดเป็น 47.18% ของวงเงินซื้อหุ้นคืน (1.6 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็นราคาเฉลี่ย 31.63 บาท/หุ้น ความสำเร็จของโครงการซื้อหุ้นคืนดังกล่าวจะช่วยเพิ่ม ROE EPS DPS (จากการประเมินของเรา EPS จะเพิ่มขึ้นราว0.8%) และยังช่วยให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องส่วนเกิน

ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 69 เป็น 37.50 บาท(เดิม 35.00 บาท) สะท้อนการปรับมูลค่าพื้นฐานของหุ้นบริษัทในเครือช่วงที่ผ่านมาและหนี้สินสุทธิที่ลดลง(อ้างอิงงบการเงินล่าสุด) คงคำแนะน “ซื้อ”

ระยะสั้นคาดหุ้นเคลื่อนไหวได้ดีกว่าคู่แข่งจากเงินปันผลงวด H1/68 สูง 0.90 บาท/หุ้น Yield สูง 2.7% ช่วยจำกัดDownside ระหว่างรอขึ้น XD วันที่ 1 ต.ค. อีกทั้งคาดการณ์ Dividend Yield ปี 68 ที่ 6% ยังมี Upside จากเงินปันผลงวด H1/68 สูงกว่าคาด ส่วนระยะกลาง-ยาวหุ้นมีปัจจัยบวกจาก Regulatory Risk ลดลงหลังทิศทางราคาพลังงานทั้งน้ำมันดิบ และ LNG ลดลงในปีหน้ารวมทั้งความคืบหน้าจากโครงการ Asset Monetization และการปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนก๊าซ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ต.ค. 68)