IMF ชี้เศรษฐกิจโลกได้แรงหนุนหลังประเทศส่วนใหญ่ไม่ตอบโต้ภาษีสหรัฐฯ

คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวเมื่อวันอังคาร (14 ต.ค.) ว่า การที่ประเทศส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ตอบโต้ภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจโลก

กอร์เกียวาระบุระหว่างการประชุมประจำปีของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตันว่า จนถึงขณะนี้โลกยังคงค้าขายกันภายใต้กติกาเดิม และหลีกเลี่ยงการยกระดับสงครามภาษีซึ่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรง

ก่อนหน้านี้ ไอเอ็มเอฟได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมโลก (GDP) ปี 2568 ในรายงาน World Economic Outlook จาก 3.0% เป็น 3.2% แต่เตือนว่าสงครามการค้าระลอกใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งทรัมป์ขู่จะเปิดฉาก อาจชะลอการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ

กอร์เกียวากล่าวเพิ่มเติมว่า อัตราภาษีที่แท้จริงของสหรัฐฯ ลดลงจากที่คาดไว้ หลังจากที่ทรัมป์ประกาศภาษีในเดือนเม.ย. ซึ่งคำนวณไว้เฉลี่ยราว 23% แต่หลังทำข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และพันธมิตรหลักอื่น ๆ อัตราภาษีลดลงเหลือประมาณ 17.5%

กอร์เกียวาเสริมว่า เมื่อคำนวณอัตราภาษีที่แท้จริงหลังมีข้อยกเว้นเพื่อให้เศรษฐกิจดำเนินไปได้ตามปกติ พบว่าต่ำเพียงราว 9–10% หมายความว่าภาระจริงน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของที่คาดไว้

นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกได้แก่ นโยบายของประเทศต่าง ๆ ที่สนับสนุนภาคเอกชน การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และความคล่องตัวของธุรกิจในการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษี เช่น การเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าและปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน

อย่างไรก็ตาม กอร์เกียวาเตือนว่า ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจโลกอาจถูกทดสอบจากการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ที่สูงเกินจริง โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแรงขับสำคัญในการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นในปีนี้

เธอกล่าวว่า นี่เป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ หากประสบความสำเร็จ จะช่วยแก้ปัญหาการเติบโตต่ำ เพราะจะเห็นประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้นและอัตราการเติบโตขยายตัว แต่หากเกิดช้าหรือไม่เป็นจริงตามที่คาด ก็ต้องจับตาว่าจะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร

ด้านปิแอร์-โอลิเวียร์ กูรินชาส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟกล่าวก่อนหน้านี้ว่า การลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจสร้างภาวะฟองสบู่แตกคล้ายวิกฤตดอตคอมปี 2543 ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนตลาดหุ้น แต่ไม่น่าก่อให้เกิดวิกฤตเชิงระบบ เพราะไม่ได้พึ่งพาหนี้สินจำนวนมาก

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ต.ค. 68)