
กฤษณะ ศรีนิวาสัน ผู้อำนวยการแผนกเอเชีย-แปซิฟิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยในวันพฤหัสบดี (16 ต.ค.) ว่า กลุ่มประเทศเศรษฐกิจในเอเชียควรหันมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการเติบโตภายในประเทศด้วยแรงขับเคลื่อนจากความต้องการและส่งเสริมการบูรณาการระดับภูมิภาคมากขึ้น เพื่อเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโต
ศรีนิวาสันกล่าวในการแถลงข่าวว่า “ภูมิภาคเอเชียพึ่งพาการค้าต่างประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับการค้าโลก เอเชียย่อมได้รับผลกระทบมากกว่าภูมิภาคอื่น”
ในการตอบคำถามของสำนักข่าวซินหัว ศรีนิวาสันได้ชี้ว่า ในวิกฤตย่อมมีโอกาส แม้จะมีความเสี่ยงด้านลบจากความไม่แน่นอนทางการค้า ช่องโหว่ด้านหนี้สิน และปัจจัยอื่น ๆ ก็ตาม
ศรีนิวาสันกล่าวว่า “เอเชียมีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางไปสู่การเติบโตภายในประเทศด้วยแรงขับเคลื่อนจากความต้องการ” โดยชี้ให้เห็นว่า พลังขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกได้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด
นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงประโยชน์ของการบูรณาการภายในภูมิภาคให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเอเชียโดยรวมเติบโตเพิ่มขึ้นได้ถึง 1.4% ในระยะกลาง ขณะที่บางประเทศซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานโลกจะได้รับประโยชน์มากกว่าอย่างมหาศาล
มุมมองของ IMF ในการคาดการณ์ล่าสุดชี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะชะลอตัวลงจาก 4.5% ในปีนี้ เหลือ 4.1% ในปี 2569
ศรีนิวาสันระบุว่า แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่ภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลก โดยมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 60% ทั้งในปีนี้และปี 2569 ซึ่งความแข็งแกร่งดังกล่าวเป็นผลมาจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า กระแสความนิยมในเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบผ่อนคลาย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)