
คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจช่วยเพิ่มผลิตภาพและผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็นปัจจัยที่สร้างความเหลื่อมล้ำทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
กอร์เกียวากล่าวระหว่างการประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลกที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันพฤหัสบดี (16 ต.ค.) ว่า กระแสการลงทุนใน AI กำลังสร้างความคาดหวังอย่างมหาศาล โดยประเมินว่า AI จะช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกราว 0.1-0.8% ซึ่งถือว่า “มีนัยสำคัญ”
ผอ.IMF ระบุว่า “เรากำลังติดอยู่กับระดับการเติบโตประมาณ 3% หาก AI สามารถช่วยเพิ่มการเติบโตได้ตามที่คาด นั่นจะเป็นผลเชิงบวกอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก”
กอร์เกียวายังเผยด้วยว่า IMF ได้พัฒนาดัชนีความพร้อมด้าน AI (AI Preparedness Index) เพื่อจัดอันดับประเทศต่าง ๆ ตาม 4 เกณฑ์หลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ทักษะแรงงาน นวัตกรรม และระดับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ซึ่งพบว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างประเทศที่พร้อมที่สุดกับประเทศที่ล้าหลังในด้านการนำ AI มาใช้
“ดังนั้น ความเสี่ยงคือโลกอาจได้ประโยชน์จากผลิตภาพที่สูงขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำที่มากขึ้นทั้งภายในและระหว่างประเทศ” กอร์เกียวากล่าว และเสริมว่า ความพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ กอร์เกียวายังเปิดตัววาระนโยบายโลก (Global Policy Agenda) ซึ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการเติบโตภาคเอกชน การสร้างความยืดหยุ่นทางการคลังและลดหนี้ และการลดความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ IMF ได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) เมื่อวันอังคาร (14 ต.ค.) ระบุว่า ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกประจำปี 2568 เป็น 3.2% แต่คาดว่าการเติบโตจะชะลอลงเหลือ 3.1% ในปี 2569 จากแรงกดดันด้านภาษีการค้า
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)