รมช.คมนาคม เร่งดันขนส่งสาธารณะร่วม “คนละครึ่งพลัส”-ศึกษาเพิ่ม Surcharge แท็กซี่มิเตอร์ใหม่ช่วงเร่งด่วน

น.ส.มัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบาย และแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจ ของกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ว่า ได้ให้กรมขนส่งฯ เร่งประสานเพื่อดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ในส่วนของระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อลดภาระประชาชนตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเร่งแก้ปัญหาผู้ให้บริการ ผ่านแอปพลิเคชั่นแพลตฟอร์มเรียกรถ ที่พบว่าผู้ให้บริการส่วนใหญ่ ยังไม่นำรถมาจดทะเบียนเป็นรถรับจ้างสาธารณะ ซึ่งกรมฯ จะเร่งแก้ไขเรื่องที่ผู้ให้บริการต้องนำรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ไปจดทะเบียนเป็นรถรับจ้างสาธารณะ รย.17 (รถจักรยานยนต์) หรือ รย.18 (รถยนต์) เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเพื่อเพิ่มการเข้าถึงของผู้ให้บริการ เนื่องจากการที่นำรถส่วนตัวมาจดทะเบียนรถรับจ้างสาธารณะให้บริการผ่านแอปฯ มูลค่ารถจะลดลง 30% และจะถูกบังคับทำประกันชั้น 1 ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น กรมฯ จะหารือกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้เกิดประโยชขน์กับทุกฝ่าย

สำหรับในส่วนของรถแท็กซี่มิเตอร์ใช้อัตราเดิมมานานแล้ว ซึ่งกรมฯ มีแนวคิดในการปรับเปลี่ยน โดยนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ คำนวณค่าโดยสารเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งคนขับ และผู้โดยสาร และช่วยแก้ปัญหาการปฎิเสธรับผู้โดยสารได้ แต่เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน หากไม่แน่ชัดและเกิดการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ ทำให้เกิดความกังวลกับทั้งแท็กซี่ และผู้ใช้บริการได้

“ต้องยอมรับว่า อัตราแรกเข้าที่ 35 บาท ใช้กันมานานมากแล้ว ขณะที่ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าครองชีพเพิ่มขึ้น แต่หากมีการพูดว่าจะปรับขึ้นเป็น 40 หรือ 45 บาทจะมีปัญหาทันที ดังนั้น จะใช้วิธีใหม่โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้มีความยืดหยุ่น ซึ่งเท่าที่ ขบ.ศึกษาไว้ แนวทางจะไม่มีการปรับค่าแรกเข้าที่ 35 บาทเท่าเดิม ซึ่งการปรับเปลี่ยนตรงนี้ จะไม่ครอบคลุมเรียกรถผ่านแอปฯ เพราะส่วนนั้น มีค่าบริการที่สูงกว่าแท็กซี่มิเตอร์อยู่แล้ว” น.ส.มัลลิกา กล่าว

 

ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า อัตรามิเตอร์เดิมใช้มานานกว่า 20 ปี ไม่ยืดหยุ่น และเกิดปัญหาแท็กซี่ปฎิเสธรับผู้โดยสาร กรมฯ จึงศึกษาพัฒนาระบบ “ดิจิตอลแท็กซี่มิเตอร์” ที่จะมีการคิดค่าธรรมเนียมโดยใช้ระบบ GPS คำนวนระยะทาง และเวลา รวมไปถึงต้นทุนราคาเชื้อเพลิงในขณะนั้นด้วย โดยจะยังคงใช้กรอบราคาตามเดิม แต่จะมีการปรับสูตรการคำนวณมากกว่า

โดยแท็กซี่จะต้องปรับตัวมิเตอร์ใหม่ติดตั้ง GPS เข้าไป และเมื่อผู้โดยสารเรียกก็จะกำหนดจุดต้นทางปลายทาง ระบบจะคำนวณราคาออกมาได้เหมาะสมกับระยะทางและเวลา เบื้องต้นแนวทางจะเป็นการเก็บค่าบริการเพิ่ม (Surcharge) ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้า และช่วงเร่งด่วนเย็น ที่การจราจรติดขัดมาก ๆ และช่วงหลังเวลา 21.00 น.เป็นต้นไป โดยจะมีค่าบริการเพิ่มอีกประมาณ 10-20 บาท ซึ่งกรมขนส่งฯ จะเร่งสรุปและเสนอกระทรวงคมนาคมในเดือนธ.ค. 68

“ปัจจุบัน จำนวนแท็กซี่มิเตอร์ลดลงเหลือ 65,000 คัน เทียบกับช่วงก่อนโควิดที่มี 110,000 คัน แท็กซี่มิเตอร์หายไปจากระบบครึ่งหนึ่งเพราะประชาชนมีทางเลือกการเดินทางมากขึ้น ประกอบกับค่าครองชีพสูงขึ้น ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงก็เพิ่ม ทำให้รายได้เฉลี่ยของแท็กซี่ก็ลดลงเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ ส่วนอัตรามิเตอร์ก็ไม่ได้ปรับมากว่า 20 ปี ดังนั้นแนวโน้มแท็กซี่ก็จะลดลงเรื่อย ๆ การคำนวณราคาใหม่ เชื่อว่าจะเป็นธรรมและไม่กระทบกับผู้โดยสาร” น.ส.มัลลิกา กล่าว

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (17 ต.ค. 68)